อ้ายจื่อจินอกสั่นขวัญหาย กลัวว่าตนเองจะไปกระตุ้นให้เขากลับมาทำเรื่องประหลาดอีก นางจึงจำใจยืนนิ่งอยู่บนยอดเขา มองเงาหลังอันโดดเดี่ยวนั้นเดินลงเขาไป
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรนก็ลอยขึ้นมาจากด้านล่างของเขา อ้ายจื่อจินฟังแล้วก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงของสี่เอ๋อร์ สาวใช้จวนสกุลถังที่มักจะมาซื้อยาที่สำนักซิ่งหลิน นางจึงรีบวิ่งไปยังต้นเสียง พอเดินมาถึงเชิงเขา อ้ายจื่อจินก็มองเห็นสี่เอ๋อร์ยืนกระวนกระวายอยู่ใต้ต้นไป่ได้แต่ไกล
สี่เอ๋อร์เองก็มองเห็นอ้ายจื่อจินแล้วเช่นเดียวกัน นางรีบปรี่มาหาด้วยความดีใจ รีบเอ่ย “แม่นางอ้าย ฮูหยินสี่ล้มป่วย รีบไปช่วยนางด้วยเจ้าค่ะ!”
มองตามนิ้วของสี่เอ๋อร์ไป อ้ายจื่อจินก็เห็นเจิ้งหนานชิงซึ่งเป็นฮูหยินลำดับที่สี่ของเจ้าเมืองสกุลถังกำลังนอนราบอยู่ใต้ต้นไป่ และที่น่าตกใจก็คือข้างกายคนที่นอนอยู่ยังมีบุรุษสวมงอบนั่งยองอยู่อีกด้านหนึ่ง นางเห็นเขาจับแขนเสื้อเจิ้งหนานชิงคล้ายตั้งใจจะเลิกขึ้น ด้วยนึกว่าบุรุษประหลาดที่สวมงอบผู้นี้คิดจะลวนลาม นางจึงรีบปราดเข้าไป ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากที่ใดไปผลักเขาออก และตะโกนเสียงดัง “เจ้ากำลังทำอะไร!”
“เจ้าคิดว่าข้ากำลังทำอะไรเล่า” บุรุษผู้นั้นชายตามองนางอย่างเยาะหยัน ก่อนก้มหน้าตรวจอาการต่อ
สี่เอ๋อร์ลุกลนแก้ต่าง “จอมยุทธ์ท่านนี้ต้องการช่วยฮูหยินสี่เจ้าค่ะ เมื่อครู่ฮูหยินสี่หลั่งเหงื่อเย็นไม่ขาดสาย แต่พอเขานวดแค่ไม่กี่ครั้ง เหงื่อของฮูหยินสี่ก็น้อยลงมากแล้ว”
ที่แท้ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้จึงเร่งรุดเดินมาถึงเชิงเขา
ในใจอ้ายจื่อจินรู้ว่าเข้าใจเขาผิดไปแล้ว นางอดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้ บุรุษผู้สวมงอบเห็นนางไม่กล่าวคำ จึงเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งยโส “อย่าเอาแต่ขวางมือขวางเท้าตรงนี้ มัวอึ้งอยู่ทำไม เหตุใดยังไม่รีบมาช่วยอีก” กล่าวจบก็ล้วงกระเป๋าเข็มออกมาจากอก แล้วโยนก้อนอ้ายหรง ให้อ้ายจื่อจินก้อนหนึ่ง
อ้ายจื่อจินถูกเขาเรียกเช่นนี้พลันได้สติในที่สุด ทางหนึ่งเขาก็แทงเข็มบาง อย่างคล่องแคล่วรวดเร็วให้เจิ้งหนานชิงที่จุดไท่ชง จุดหางเจียนบริเวณเท้า และจุดจู๋ซานหลี่บริเวณใต้เข่า ทางหนึ่งสั่งอ้ายจื่อจินไปด้วย “รีบรมยาที่จุดกวนหยวนกับจุดชี่ไห่ของนาง”
อ้ายจื่อจินรมยาไปพลางสังเกตการเคลื่อนไหวของเขาไปพลาง เห็นเขามีฝีมือช่ำชอง แทงเข็มถอนเข็มว่องไวดุจวายุพัด มีจุดหลายจุดที่เขาใช้วิธีแทงเข็มคาไว้ มีหลายจุดที่ใช้การฝังและถอนเข็มอย่างรวดเร็วราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าว จากประสบการณ์การเป็นหมอมาหลายปีของอ้ายจื่อจิน บุรุษผู้นี้มีประสบการณ์ในการรักษาอย่างมาก กระทั่งเทียบกับหลินเต๋ออีแล้ว คนผู้นี้ก็ยังอยู่เหนือชั้นยิ่งกว่า หากปราศจากการฝึกฝนหลายสิบปีไม่มีทางบรรลุถึงระดับนี้ได้แน่ แต่ดูจากลักษณะเขาแล้วน่าจะอายุราวสามสิบปีเท่านั้น หากจะฝึกปรือก็คงต้องเรียนรู้มาตั้งแต่ยังเยาว์ ทว่าผู้ที่จะฝึกฝนการฝังเข็มและการรมยาตั้งแต่ยังเล็กล้วนแต่เกิดในตระกูลแพทย์ หรือไม่ก็คารวะเป็นศิษย์ตระกูลแพทย์ฝังเข็มรมยาสักแห่งตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งตระกูลแพทย์ฝังเข็มรมยาที่นางรู้จักนั้น เห็นจะมีเพียงโรงแพทย์จิงเฉิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในยุคหนึ่งของเมืองหลวง ทว่าโรงแพทย์จิงเฉิงเมื่อเจ็ดปีก่อนได้…
คิดถึงตรงนี้อ้ายจื่อจินพลันสลดใจลงเล็กน้อย ทั้งความสงสัยก็ตามมา อดชำเลืองมองคนผู้นั้นอีกไม่ได้ งอบของเขายังคงกดต่ำยิ่ง มุมปากมุ่งมั่นเม้มเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงเย็น “ดูพอหรือยัง”
อ้ายจื่อจินหน้าร้อนผ่าว เลื่อนสายตาหนีอย่างลนลาน
“ฮูหยินสี่ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว! ขอบคุณฟ้าดิน อมิตาภพุทธ!” เสียงร้องตกใจของสี่เอ๋อร์ช่วยคลี่คลายความเก้อเขินของคนทั้งสองได้พอดี อ้ายจื่อจินหันไปเห็นเจิ้งหนานชิงลืมตาขึ้นช้าๆ
“ที่นี่…คือที่ใด” นางถามอย่างอ่อนแรง
“ที่นี่คือเขาไป๋อวิ๋น” สี่เอ๋อร์ประคองเจิ้งหนานชิงลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ชี้ไปยังบุรุษที่สวมงอบพลางเอ่ย “ผู้กล้าท่านนี้ช่วยท่านเอาไว้เจ้าค่ะ!” นางนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจก็ชี้ไปทางอ้ายจื่อจินแล้วเอ่ยว่า “อ้อ ยังมีแม่นางอ้ายช่วยด้วยเจ้าค่ะ”
เจิ้งหนานชิงค่อยนึกเรื่องที่ตนเองเป็นลมขึ้นมาได้ ก่อนจะยิ้มขวยเขินให้เขา “ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณยิ่งนัก”
“เรื่องเล็กน้อย ฮูหยินอย่าเก็บไปใส่ใจ” เขาตอบอย่างนุ่มนวล เปลี่ยนจากท่าทีเย็นชาตอนสนทนากับอ้ายจื่อจินเมื่อครู่นี้ลิบลับ “ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ทั้งพบเจอเรื่องน่ากลัวจึงได้หมดสติกะทันหัน”