“ท่านผู้กล้า ท่านช่างเก่งกาจโดยแท้ ฮูหยินสี่ของข้าเห็นเชือกเส้นนั้นเป็นงูถึงได้เป็นลมไป” สี่เอ๋อร์มองชายหนุ่มอย่างเลื่อมใส ชี้ไปที่เชือกป่านเส้นหนึ่งซึ่งแขวนอยู่บนกิ่งไม้ เห็นเพียงเชือกเส้นนั้นผูกปมอยู่สองสามปม แต่ละปมล้วนมีลักษณะที่ประหลาดพิสดาร
ทันทีที่บุรุษผู้สวมงอบเห็นเชือกเส้นนี้ก็ราวกับถูกดึงดูดจิตวิญญาณไป เขานิ่งงันไม่ไหวติง คนที่เหลือเห็นเขามีอาการเช่นนี้ก็ลอบสงสัย
เนิ่นนานเจิ้งหนานชิงจึงเรียกขึ้นเสียงเบา “ผู้มีพระคุณ…”
บุรุษผู้สวมงอบประหนึ่งไม่ได้ยิน เพียงเดินไปทางเชือกเส้นนั้น พลางเอื้อมมือไปลูบปมประหลาดทุกปมบนเชือกป่านอย่างช้าๆ ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยกับการกระทำของเขา จู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมา ท่าทีจริงจังเมื่อครู่นี้ไม่เหลือให้เห็นอีก “ฮ่าๆ มีเชือกเช่นนี้แขวนอยู่ที่นี่ อย่าว่าแต่ฮูหยินเลย แม้แต่ข้าก็คงมองผิด ในเมื่อฮูหยินไม่เป็นอะไรแล้วก็รีบกลับเสียเถิด หากช้ากว่านี้ฝนจะตกลงมาเสียก่อน” ตอนเขากล่าวประโยคนี้ราวกับมองไม่เห็นอ้ายจื่อจินเลยสักนิด สายตาจับจ้องอยู่แค่เจิ้งหนานชิงพร้อมแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น
“ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของผู้มีพระคุณ…”
“ชื่อชาวบ้านชนบท ไหนเลยควรค่าแก่การเอ่ยถึง ขอฮูหยินเชิญกลับเถิด”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินสี่ พวกเรารีบกลับกันเถอะ ป่านนี้เหล่าถังที่รออยู่ที่วัดคงร้อนใจแย่แล้ว หากยังช้าอีกใต้เท้าจะส่งคนมาตามหาเอานะเจ้าคะ” สี่เอ๋อร์เอ่ยเตือนเสียงเบาอยู่ด้านข้าง
เจิ้งหนานชิงยังลังเลอยู่บ้าง พักใหญ่ถึงค่อยเอ่ยอย่างจริงใจ “เช่นนั้น…หนานชิงขอตัวก่อน หากผู้มีพระคุณมีความประสงค์ใด โปรดมาหาข้าที่จวนสกุลถังที่เขาเป่ยกู้ได้” กล่าวไปนางก็ยื่นปิ่นเงินอันหนึ่งใส่มือบุรุษผู้นั้น และหันไปเอ่ยกับอ้ายจื่อจิน “ครั้งนี้ลำบากแม่นางอ้ายด้วยเช่นกัน วันหน้าหนานชิงจะไปเยือนเพื่อขอบคุณถึงที่”
บุรุษผู้สวมงอบได้ยินนางกล่าวว่าตนเองเป็นคนของจวนสกุลถัง เขาก็คาดเดาได้ว่าคนตรงหน้าคงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเจ้าเมืองจึงรับปิ่นเงินมา และประสานมือเอ่ย “ฮูหยินสี่ รักษาตัวด้วย”
เจิ้งหนานชิงมองชายหนุ่มอย่างลึกซึ้งวูบหนึ่งก็หมุนตัวจากไป ส่วนอ้ายจื่อจินกลับยังไม่ไปไหน นางเพียงยืนมองบุรุษผู้นี้เงียบๆ อยู่ที่ด้านข้าง นัยน์ตาดำสนิทวาววับประหนึ่งมีถ้อยคำหมื่นพันแต่ไม่รู้ควรเริ่มเอ่ยจากที่ใด บุรุษผู้นั้นยังคงทำเป็นมองไม่เห็นนาง
เพียงชั่วพริบตาที่เจิ้งหนานชิงจากไป เขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง และเดินช้าๆ ไปยังเชือกป่านที่มัดเป็นปมอยู่ ก่อนจะยื่นมือไปกระชากเชือกอย่างแรง ปมเชือกแต่เดิมมิใช่เงื่อนตาย ไหนเลยจะทนต่อแรงป่าเถื่อนของเขาได้ หลังเสียงแควกดังขึ้น ปมก็คลายออก ความยาวของเชือกนี้ราวถูกคนวัดมาโดยละเอียด เมื่อปมเชือกคลายออกปลายเชือกก็ร่วงจรดกับพื้นพอดิบพอดีโดยไม่ขาดไม่เกิน
เรือนกายของชายหนุ่มพลันหยัดตรง นิ้วที่งอเล็กน้อยกำแน่น ข้อกระดูกลั่นดังกร๊อบ! พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ ขาวซีด บนหลังมือเขามีเส้นเลือดสีเขียวพลันปูดโปนขึ้น แต่ด้วยงอบปิดบังสายตาอันยากคาดเดาของเขาไว้ ไม่ว่าอ้ายจื่อจินจะพยายามสังเกตอย่างไร ก็สัมผัสได้เพียงกลิ่นอายฮึกเหิม โศกเศร้า และคั่งแค้นที่แผ่ซ่านรอบตัวเขาอย่างเลือนรางเท่านั้น
ฉับพลันเขาก็หันกายมาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าใดๆ จ้องใบหน้าตกตะลึงของอ้ายจื่อจินอย่างเย็นชา “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกคำสั่งเสียของคนผู้นั้น ข้าก็จะไม่บังคับ แต่เหตุใดเจ้าต้องฝังเขาไว้ที่เขาไป๋อวิ๋นลูกนี้ด้วย” ชายหนุ่มกล่าวไปพลางรุกประชิดนางไปพลาง ปีกงอบเฉียดผมหน้าม้าของอ้ายจื่อจิน นางได้ยินเสียงอันทุ้มต่ำของเขาผ่านข้างหูประหนึ่งอยู่ในความฝัน “เขาเคยพูดถึงเขาไป๋อวิ๋นกับเจ้าก่อนตายใช่หรือไม่”
อ้ายจื่อจินร่างกายเกร็งค้างไปทันใด สีหน้าแปรเปลี่ยนหมื่นพันในพริบตา
เห็นนางมีสีหน้าเช่นนี้ นึกว่านางยังสงสัยเขาอยู่ จึงกล่าวขึ้นมาว่า “หากข้าเป็นคนของพรรคเยียน จริง ตอนนี้เจ้าคงตายไปแล้ว” หลังจากนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งราตรี พรุ่งนี้เวลานี้ ข้าจะรอเจ้าที่นี่”
ไม่รอให้อ้ายจื่อจินมีการตอบสนองใดๆ ในพริบตานั้นเขาก็ทะยานร่างสูงโปร่งหายลับไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย บนเขาไป๋อวิ๋นต้นไป่เขียวครึ้ม ทะเลหมอกหนาทึบ ประดุจทุกสิ่งเป็นเพียงความฝันของอ้ายจื่อจิน
ไม่ ไม่ใช่ฝัน!
อ้ายจื่อจินแบมือ ป้ายหยกชิ้นหนึ่งทอดตัวอย่างเงียบเชียบอยู่บนนั้น เป็นป้ายหยกที่นางคว้าได้จากเอวเขาก่อนที่เขาจะจากไป อ้ายจื่อจินค่อยๆ กำมือ นิ้วโป้งลูบไล้อย่างเชื่องช้าไปตามตัวอักษรที่สลักอยู่บนป้ายหยก ในดวงตาประหนึ่งปกคลุมด้วยหมอกบางชั้นหนึ่งที่ค่อยๆ หนาทึบขึ้นทุกที
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.ย. 62)