ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน รำพันรักหมอยา บทที่หนึ่ง-บทที่สอง
อาจารย์ของนางคือหมอเลื่องชื่อหลินเต๋ออี ผู้สืบทอดรุ่นที่สามของสำนักซิ่งหลิน ตั้งแต่หลินเต๋ออีเริ่มออกตรวจรักษาผู้ป่วยมาก็เป็นเวลาสามสิบปีแล้ว สำนักซิ่งหลินแห่งนี้คือโรงแพทย์ที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้จยาจิ้ง จวบจนบัดนี้มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ด้วยทุกสมัยให้กำเนิดหมอเลื่องชื่อ มิหนำซ้ำหมอในโรงแพทย์ท้องถิ่นส่วนใหญ่ล้วนมาจากสำนักซิ่งหลิน ที่นี่จึงได้รับความเคารพจากชาวบ้านในแถบเจ้อตงอย่างมาก หลินเต๋ออีมีใบหน้าเมตตาอารีโดยกำเนิด เคราสีขาวโพลนจัดแต่งอย่างสะอาดเรียบร้อย ยามหลับตาจับชีพจรที่ข้อมือคนไข้ท่าทางเสมือนหมอเทวดาผู้มาสงเคราะห์ผู้คน เนื่องจากไร้บุตรธิดา ปัจจุบันที่อยู่ข้างกายจึงล้วนแต่เป็นลูกศิษย์วัยหนุ่มสาวที่เพิ่งรับเข้ามาไม่กี่ปีนี้ ซึ่งยังเรียนวิชาแพทย์ไม่สำเร็จ
อ้ายจื่อจินเดินไปตรงหน้าตู้ยาในห้องโถงสำนักซิ่งหลินเหมือนที่ผ่านมา เห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างกำลังยุ่งง่วน นางย่อกายเล็กน้อยคารวะหลินเต๋ออี และเริ่มจัดระเบียบใบสั่งยาที่หน้าตู้ยา ใบสั่งยาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นใบสั่งยาเก่า มีบ้างที่หลินเต๋ออีจะเพิ่มหรือลดสมุนไพรสองสามชนิด บ้างก็ให้กินต่อจากใบสั่งยาเดิม ตามปกติผู้ป่วยเก่าแก่เหล่านี้ล้วนมากันแต่เช้าตรู่ หลังจากนั้นหลินเต๋ออีถึงค่อยรับรองผู้ป่วยที่มารักษาเป็นครั้งแรก
เพียงไม่นานก็พ้นเที่ยงวันไปแล้ว ทว่าด้านในโรงแพทย์กลับไม่เห็นสภาพเกียจคร้านหลังเที่ยงเลยแม้แต่น้อย ชายชราผู้หนึ่งเดินงกๆ เงิ่นๆ ผ่านประตูใหญ่ของสำนักซิ่งหลินตรงมาที่หน้าหลินเต๋ออี ยามนี้หลินเต๋ออีเพิ่งตรวจคนไข้เสร็จไปคนหนึ่ง กำลังเติมหมึกลงบนจานฝนหมึก พอเห็นชายชราเข้ามา เขาก็เหลือบตาขึ้นมองสำรวจอย่างละเอียด ผลักหมอนจับชีพจรไปข้างหน้า ยิ้มเป็นเชิงให้เขานั่งลง
ชายชราวางมือลงบนหมอนจับชีพจรด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม หลินเต๋ออียื่นมือขวาออกมา งอสามนิ้ววางบนชีพจรมือซ้ายของชายชราที่น่าจะอายุเกินแปดสิบผู้นี้ อีกมือลูบเคราขึ้นลงตามความเคยชิน ไม่เกินราวครึ่งก้านธูป เขาก็วางนิ้วบนชีพจรมือขวาของชายชรา จากนั้นสั่งให้ชายชราแลบลิ้น เห็นฝ้าน้ำลายบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมแผ่นลิ้นสีค่อนข้างอ่อน ด้านข้างลิ้นสองข้างยังเห็นรอยฟันขบตื้นๆ ได้รำไร หลินเต๋ออีมุ่นคิ้วเล็กน้อย ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนถามว่า “รู้สึกไม่สบายที่ใด”
“ร้อนน่ะสิ ข้าขยับนิดขยับหน่อยก็เหงื่อออก แต่พอลมพัดมากลับหนาว ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด”
หลินเต๋ออีทางหนึ่งฟัง อีกทางหนึ่งก็กวาดตามองลูกศิษย์ที่ติดตามตรวจและกำลังเขียนใบสั่งยาอยู่ข้างกายอย่างเงียบเชียบ ลูกศิษย์ทั้งหมดขมวดคิ้วนิ่วหน้า มีเพียงศิษย์คนโตอย่างตู้จื่อเฟยที่กำลังสังเกตใบหน้าชายชราอย่างใจจดใจจ่อ ชายชราใบหน้าขาวซีด ปากเริ่มเขียวเล็กน้อย จิตใจไม่สดชื่นแจ่มใส
หลินเต๋ออีเห็นตู้จื่อเฟยมีท่าทางมั่นอกมั่นใจก็พยักหน้าให้เขา
ตู้จื่อเฟยเห็นหลินเต๋ออีอนุญาตก็ถามชายชรา “ก่อนหน้านี้ท่านลุงเคยป่วยหนักใช่หรือไม่”
“จะป่วยอะไรได้ ก็แค่ไอบ้างช่วงเปลี่ยนฤดูเท่านั้น จะมีก็แต่ก่อนหน้าไม่นานนี้ ดูจะไอรุนแรงกว่าที่แล้วมาสักหน่อย”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว” ตู้จื่อเฟยยิ้มน้อยๆ หันไปมองหลินเต๋ออี เห็นอาจารย์ส่งสายตาอนุญาตมาให้แล้ว เขาจึงเอ่ยต่อ “ไอเป็นเวลานานทำให้ลมปราณปอดพร่อง ตามหลักปัญจธาตุปอดคือธาตุทอง ธาตุทองให้กำเนิดธาตุน้ำ หากลมปราณปอดพร่องก็จะส่งผลให้ไตไม่สร้างน้ำ เป็นอาการแม่ป่วยกระทบลูก บัดนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เดิมทีลมปราณหยางจะเพิ่มทวี ลมปราณในตับซึ่งเป็นธาตุไม้จะรุ่งเรือง ธาตุทองก็จะทำหน้าที่ข่มธาตุไม้ แต่เมื่อลมปราณปอดพร่องไปเช่นนี้ก็ไม่อาจข่มธาตุไม้ได้ ส่งผลให้ลมปราณตับเพิ่มสูงจนไปข่มม้ามซึ่งเป็นธาตุดิน ลมปราณม้ามจึงพร่อง ด้วยเหตุนี้ ปอด ม้าม ไต ทั้งสามอวัยวะล้วนแต่เกิดภาวะพร่อง พาให้พลังชีวิตลดลงอย่างหนัก ลมปราณหยางถดถอย ลมปราณคุ้มกันไม่มั่นคง ลมปราณบำรุงไม่สมดุล ดังคำกล่าวของหลี่ตงหยวน ‘บอบช้ำภายในกระทบพลังชีวิต ลมปราณหยางลดต่ำ เกิดความร้อนจากภาวะพร่อง’ ใช้ตำรับยาปู่จงอี้ชี่ทัง ใช้ยารสหวานอุ่นขจัดความร้อน”
หลินเต๋ออีลูบเคราด้วยความพอใจ พลางยิ้มเอ่ย “ไม่เลว ไม่เลว มองออกว่าเป็นความร้อนจากลมปราณพร่อง ยังนึกวิธีใช้ยารสหวานอุ่นกำจัดความร้อนได้ หากเสริมสมุนไพรสำหรับปรับสมดุลลมปราณคุ้มกันอีกสักหน่อย ตำรับยานี้ก็เป็นอันสำเร็จ”
“ท่านอาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง หากเอ่ยถึงตำรับยาปรับสมดุลลมปราณคุ้มกันบำรุง ข้าขอเสนอตำรับยากุ้ยจือทัง เป็นอันดับแรกขอรับ” ตู้จื่อเฟยรีบร้อนขานรับ เมื่อหลินเต๋ออีพยักหน้าเห็นชอบ เขาก็เอ่ยกับศิษย์น้องจางอู๋เหร่าที่ตามตรวจอยู่ด้านข้างอย่างถือดี “หวงฉี ชะเอมผัดน้ำผึ้งอย่างละห้าส่วน โสมสามส่วน ตังกุยแช่สุราอังไฟแห้งสองส่วน เปลือกส้ม เซิงหมา ไฉหู ไป๋จู๋อย่างละสามส่วน อบเชย ไป๋เสา ขิงสดอย่างละสามส่วน พุทราแดงสิบสองลูก”
จางอู๋เหร่าเขียนใบสั่งยาเสร็จก็ยื่นให้ตู้จื่อเฟยดู ตู้จื่อเฟยพยักหน้าให้หลินเต๋ออี หลินเต๋ออีถึงเอ่ยกับชายชราผู้นั้นอย่างนุ่มนวล “โรคนี้เกิดจากภูมิต้านทานพร่อง จำต้องดูแลรักษาร่างกายอย่างดี เจ้ากินยาไปก่อนห้าเทียบ เทียบหนึ่งต้มสองหนกินเช้าและเย็น อีกห้าวันค่อยมาตรวจอีกครั้ง” ชายชรารีบร้อนขอบคุณ รับใบสั่งยาก็ไปซื้อยาที่ด้านหน้าตู้ยาด้านข้าง
หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าตู้ยาคืออ้ายจื่อจิน นางรับใบสั่งยามากวาดตามองลวกๆ ก็ดึงลิ้นชักยาออกอย่างคล่องแคล่ว ชั่วประเดี๋ยวนางก็หยิบสมุนไพรออกมาแล้วสิบเอ็ดชนิด จัดหวงฉี ชะเอมผัดน้ำผึ้ง และสมุนไพรอื่นๆ เรียบร้อยแล้วก็ใช้ตาชั่งสมุนไพรชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด แล้วค่อยแบ่งออกเป็นห้าส่วนเท่าๆ กัน จากนั้นเหลือบมองใบสั่งยาอีกแวบ ก่อนหมุนตัวไปเปิดลิ้นชักยาชั้นบนสุดทางซ้ายมือ แต่แล้วก็ชะงักมือกะทันหัน นางเหลียวกลับไปมองชายชราที่รอคอยอย่างกระสับกระส่ายงุ่นง่านอยู่ด้านข้าง คิ้วงามขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะปิดลิ้นชักนั้นอย่างรวดเร็ว มือขาวเนียนเคลื่อนไปที่ลิ้นชักยาชั้นสองทางขวา เปิดออกแล้วหยิบสมุนไพรกำเล็กๆ ออกมาวางบนตาชั่งอย่างรวดเร็วยิ่ง ชั่งเสร็จก็เทลงบนสมุนไพรซึ่งกองเป็นภูเขาลูกย่อมอยู่แล้ว
นางนำสมุนไพรที่ห่อเรียบร้อยยื่นให้ชายชรา ก่อนจะยิ้มน้อยๆ เอ่ยกำชับว่า “สมุนไพรให้แช่น้ำก่อนเป็นเวลาสองถ้วยชา แล้วค่อยใช้ไฟอ่อนต้มหนึ่งเค่อ ดื่มยาแล้วกินโจ๊กอุ่นสักชาม ให้เหงื่อออกทั่วกายได้ยิ่งดี” หญิงสาวครุ่นคิด ก่อนกล่าวอีก “ท่านยังต้มยาครั้งที่สามได้ ให้ผสมน้ำสมุนไพรกับน้ำร้อนแช่เท้าก่อนนอน หากกากสมุนไพรที่เหลือยังร้อนอยู่ ก็ใช้ผ้าห่อวางไว้ที่ใต้สะดือเป็นเวลาสักหนึ่งถ้วยชา”
ชายชรามองนางอย่างฉงนฉงาย “เช่นนี้ก็ได้หรือ”
อ้ายจื่อจินพยักหน้ายิ้มๆ เสียงแผ่วเบาทว่ามั่นใจยิ่งยวด “ได้เจ้าค่ะ”
พอกล่าวจบ นางพลันสัมผัสได้ถึงสายตาเพ่งพินิจมองตรงมา หันหน้าไปเห็นหลินเต๋ออีคล้ายกำลังมองตรงมาทางตน นางจึงก้มหน้าเล็กน้อย หลินเต๋ออีเพียงปราดมองนางวูบหนึ่ง ก่อนที่สายตาจะเบนไปที่ตู้ยาด้านหลังนาง ด้านนอกลิ้นชักชั้นบนสุดทางซ้ายของตู้ยาใช้สีแดงชาดขีดวาดทีละเส้นไว้ว่า ‘โสม’ ด้านนอกลิ้นชักชั้นสองทางขวาใช้สีเดียวกันขีดวาดทีละเส้นด้วยลายมือเดียวกันว่า ‘โสมไท่จื่อ’