ราตรีดึกสงัด ลมเย็นโชยพัดยอดไม้ที่เพิ่งแตกยอดอ่อนเป็นเสียงซู่ซ่า อ้ายจื่อจินจัดสมุนไพรกองสุดท้ายที่เพิ่งตากแดดมาเสร็จ เก็บสากบดยาเรียบร้อยก็เดินออกมาจากห้องยา
เลี้ยวซ้ายเดินต่อไปข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวาก็จะเป็นที่พักของนาง แต่นางกลับหยุดที่มุมทางเลี้ยว ในสวนเงียบสงัดอย่างยิ่ง มีเพียงเสียงฝนของฤดูใบไม้ผลิกับเสียงหายใจแผ่วอ่อนของนาง มือที่ถือโคมสั่นสะท้านเล็กน้อย หันหน้ามองไปทางขวาก็เห็นว่าทางขวามืดสนิท ที่นั่นเป็นฝั่งเรือนที่พักของหลินเต๋ออี หากเขาไม่อนุญาตไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปด้านใน ขนาดตู้จื่อเฟยศิษย์เอกที่รับการถ่ายทอดความรู้โดยตรงจากเขาก็ยังเข้าไปจัดเก็บห้องหนังสือแทนเขาได้แค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น ปกติห้องหนังสือของหลินเต๋ออีจะปิดตายตลอดปี กลางวันหากมองจากที่นี่เข้าไปก็เห็นได้เพียงมุมชายคา
นางได้ยินบรรดาศิษย์พี่ที่เข้าสำนักมาก่อนตนเองเคยบอกว่าบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของสำนักซิ่งหลินจะจดบันทึกโรคหายากที่ตนเองพบมา แล้วจัดระเบียบเป็นตำราแพทย์ ส่งต่อรุ่นสู่รุ่นให้เก็บรักษาไว้ในห้องหนังสือที่ปิดตายตลอดปีห้องนั้น บางทีในภายภาคหน้าก็อาจได้รับการสืบทอดต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าเช่นเดียวกัน
นางหันกายไปทางขวาเล็กน้อย นิ้วมือที่กุมไม้ถือโคมกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลมค่อนข้างแรง หยาดฝนสาดกระทบใบหน้าเป็นหยาดน้ำพราวใส นางตัดสินใจได้ในที่สุด กัดฟันย่างเท้าขวาออกไป
“จื่อจิน” เสียงทุ้มต่ำหยุดยั้งเท้าซ้ายที่เพิ่งจะยกขึ้นของนาง นางหันไปมองเงาร่างที่เดินเข้ามาช้าๆ ท่ามกลางความมืด
ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น อ้ายจื่อจินย่อกายเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “อาจารย์”
ผู้ที่มาคือหลินเต๋ออี เขาลูบเคราสีขาวโพลนพลางถาม “เจ้ามาที่นี่ได้กี่ปีแล้ว”
“ปีกว่าเจ้าค่ะ”
“หนึ่งปีนี้ทำอะไรแล้วบ้าง”
“เก็บสมุนไพร ตากสมุนไพร บ้างก็อ่านตำราแพทย์เจ้าค่ะ”
“อ่านตำราอะไรไปบ้าง”
“คัมภีร์หลิงซู คัมภีร์ซู่เวิ่น คัมภีร์ยาสมุนไพรเสินหนง”
“ไม่เคยอ่านตำราว่าด้วยไข้หวัดและโรคทั้งหลายของหมอเทวดาจางจ้งจิ่ง หรือ”
นางเงยหน้ามองหลินเต๋ออีอย่างสงสัย “จื่อจินเคยอ่านเพียงเล็กน้อย ยังไม่…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น” หลินเต๋ออีตัดบทนางยิ้มๆ “อ่านยอดตำราของปรมาจารย์เหล่านี้ให้มากเป็นเรื่องดี วันนี้เจ้ากำชับให้ชายชราผู้นั้นกินโจ๊กหลังกินยาถือเป็นแก่นหลักของตำรับยากุ้ยจือทัง ใบสั่งยาของจื่อเฟยแม้จะมีตำรับยากุ้ยจือทังก็จริง แต่หากกินโจ๊กหลังกินยาไปด้วยก็จะสามารถบรรลุสรรพคุณเป็นเท่าตัวได้”
“จื่อจินแกว่งขวานหน้าบ้านหลู่ปัน แล้ว”
“แต่ข้ากลับแปลกใจว่าวิธีการแช่เท้ากับประคบร้อนเจ้าไปได้มาจากที่ใด”
ลมหายใจของนางหยุดชะงักด้วยอับจนคำแก้ตัว ก่อนผ่อนคลายลงอย่างไม่ทิ้งร่องรอย เพียงก้มหน้าเล็กน้อยเอ่ย “จื่อจินตัดสินใจโดยพลการ”
“นอกจากนี้ผู้ใดกันสอนให้เจ้าใช้โสมไท่จื่อแทนโสม”
“โสมไม่พอแล้ว จึง…” สีหน้าของนางภายใต้แสงโคมริบหรี่ ครึ่งหนึ่งสว่างไสว ครึ่งหนึ่งเย็นยะเยือก
“อย่างนั้นหรือ” หลินเต๋ออีลูบเครา เอ่ยอย่างราบเรียบธรรมดา “เช่นนั้นคงเป็นข้าดูผิดไป” นิ่งไปอึดใจก็ชายตามองศิษย์หญิงของเขาวูบหนึ่ง “เมื่อครู่ข้าเพิ่งตรวจดูลิ้นชัก เหมือนโสมจะยังเหลืออีกครึ่งลิ้นชัก”
ฝนเม็ดเล็กละเอียดพรมปรอยๆ ลงภายในสวน นางกำมือแน่นอย่างเงียบเชียบ รู้สึกเพียงหัวใจเต้นรัวเร็วราวกับจะกระดอนออกจากอก ลอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง น้ำเสียงใสกระจ่างดุจสายธารไหลเอื่อยในฤดูใบไม้ร่วงเอ่ย “ศิษย์เห็นว่าไม่มีโสมแล้ว ช่วงบ่ายจึงเติมเพิ่มใหม่อีกจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ”