หลินเต๋ออีมองนางวูบหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “ชายชราผู้นี้ลมปราณพร่องจึงเกิดความร้อน ใช้ตำรับยาปู่จงอี้ชี่ทังกับกุ้ยจือทังร่วมกันเป็นการใช้ยารสหวานอุ่นระบายร้อนถือว่าแก้จากต้นเหตุ ทว่าในใบสั่งยา หวงฉี ขิงสด อบเชยเป็นสมุนไพรจำพวกรสหวานอุ่นและรสเผ็ดแห้ง เป็นผลให้กระสับกระส่ายง่าย ทั้งยังผลาญของเหลวในร่างกาย ใช้โสมช่วยเสริมบำรุงลมปราณได้ก็จริงแต่ยังค่อนไปทางแห้ง โสมไท่จื่อแม้สรรพคุณจะบำรุงลมปราณสู้โสมไม่ได้ แต่กลับช่วยหล่อเลี้ยงธาตุอิน สร้างของเหลวในร่างกาย”
“ศิษย์ไม่ทราบ เห็นโสมไท่จื่อมีมาก…”
หลินเต๋ออีกลับโบกมือขัดวาจานาง “เจ้าตั้งใจก็ช่าง ไม่ตั้งใจก็แล้วไป ครั้งนี้ไม่นับว่าใช้ยาผิด แต่ผู้เขียนใบสั่งยาใช้ยาตัวใดนั้น ความคุ้นเคยของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน การวิเคราะห์ก็แตกต่างกัน จื่อเฟยมีการวินิจฉัยของเขา ภายหน้าหากต้องการเปลี่ยนยาก็บอกกล่าวให้ผู้เขียนใบสั่งยารู้จะดีกว่า”
“อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว” นางเอ่ยอย่างพินอบพิเทา
หลินเต๋ออีปราดมองนาง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยเรียนแพทย์จริงหรือ” เห็นนางส่ายหน้า เขาก็ถามอย่างครุ่นคิด “ครั้งนั้นเจ้าบอกว่ามาจากเมืองหลวง สกุลอ้ายในเมืองหลวงไม่ถือเป็นสกุลใหญ่ บังเอิญบ้านเพื่อนสกุลเฉียวของข้าที่เมืองหลวงก็มีสะใภ้สกุลอ้ายอยู่คนหนึ่ง”
“สกุลอ้ายในเมืองหลวงแม้มีไม่มาก แต่ก็มีไม่น้อย ศิษย์ไม่รู้จักฮูหยินสกุลอ้ายผู้นั้นหรอกเจ้าค่ะ”
หลินเต๋ออีมองนางอย่างฉงนครู่หนึ่ง ถอนใจแผ่วเบาและเอ่ย “เพื่อนเก่าจรจากไปแล้ว…แต่ช่างเถิด ดึกมากแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด” กล่าวจบเขาก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ทันใดนั้นก็เหลียวกลับมาพูดว่า “พรุ่งนี้ตามข้าไปออกตรวจโรคที่วัดหนานซานด้วย”
อ้ายจื่อจินตกตะลึง “ศิษย์ไม่เคยติดตามท่านออกตรวจ”
“ที่ปรมาจารย์ในอดีตมีตำรับยามากมายก็ล้วนมาจากประสบการณ์ทั้งสิ้น เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ระยะหนึ่ง ควรออกไปเรียนรู้ได้แล้ว” หลินเต๋ออีกล่าว ก่อนเดินไปทางเรือนที่พัก
วัดหนานซานตั้งอยู่บนไหล่เขาจินจื่อ ยามนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งสุดสายตา เมฆสีขาวซ้อนเรียงดุจระลอกคลื่นในมหาสมุทรอันเชี่ยวกราก แสงอาทิตย์สายหนึ่งสาดส่องลงบนเขาจินจื่อ เทือกเขาเหยียดยาวสุดลูกหูลูกตาประหนึ่งภาพวาด ท่ามกลางแสงครึ่งสลัวครึ่งสว่าง ขับให้เจดีย์คู่บนยอดเขาซึ่งตั้งอยู่ไกลลิบนั้นยิ่งดูสูงตระหง่าน
ภูเขาทางใต้มีเส้นทางสัญจรมาแต่ไหนแต่ไร หนึ่งผู้ชราพาหนึ่งชายหนุ่มหนึ่งหญิงสาวเดินอยู่บนทางเดินสายเล็กที่ซ่อนเร้นอยู่ในความเขียวขจีของไหล่เขา แสงอาทิตย์ส่องลงบนเคราสีขาวโพลนของผู้ชรา พวกเขาคือหมอเลื่องชื่อหลินเต๋ออีและลูกศิษย์ตู้จื่อเฟยกับอ้ายจื่อจิน
แต่ไรมาหลินเต๋ออีออกตรวจโรคจะพาตู้จื่อเฟยไปแค่คนเดียว ทว่าครั้งนี้กลับเรียกอ้ายจื่อจินผู้ธรรมดาไม่โดดเด่นมาด้วย ชวนให้ตู้จื่อเฟยตกใจไม่น้อย ทั้งยังรู้สึกราวกับถูกแบ่งปันสิ่งของล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวให้ผู้อื่นโดยที่เขาไม่อาจแสดงท่าทีใดได้ ให้อัดอั้นใจยิ่งนัก
“เร็วเข้า! พวกเราออกไปตรวจโรค หาใช่เที่ยวภูเขาชมลำน้ำ! เดินช้าปานนี้เกิดผู้ป่วยรอไม่ไหว รักษาล่าช้าขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” ตู้จื่อเฟยอดใช้น้ำเสียงของศิษย์พี่ตำหนิอ้ายจื่อจินไม่ได้
อ้ายจื่อจินเข้าใจเจตนาเป็นศัตรูของเขา จึงมิได้โต้แย้ง เพียงสืบเท้าเร็วขึ้นสองสามก้าว ไล่ตามฝีเท้าของทั้งสองไป
“อาจารย์ขอรับ ข้าเห็นว่าจื่อจินทนการออกไปข้างนอกทุกวันเช่นนี้ไม่ได้แน่ อย่างไรก็เป็นสตรีนะขอรับ!” สีหน้าของตู้จื่อเฟยเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่ายอดฝีมืองิ้วเปลี่ยนหน้า เขาประชิดไปตรงหน้าหลินเต๋ออี สังเกตอาการของอีกฝ่ายขณะหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง
หลินเต๋ออียิ้มน้อยๆ และเอ่ย “ไม่เป็นไร ข้าผู้ชราก็เดินช้าเช่นกัน ประจวบเหมาะเดินพร้อมกับจื่อจินได้พอดี”
ตู้จื่อเฟยเห็นหลินเต๋ออีเข้าข้างอ้ายจื่อจิน ในใจยิ่งไม่ยินยอม
หลินเต๋ออีคล้ายอ่านความคิดตู้จื่อเฟยออก เขาเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการชี้ไปยังสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิบนภูเขาแล้วถามขึ้น “ฤดูใบไม้ผลิแสงแดดอบอุ่นพอเหมาะ ทั้งความร้อนกำลังดี เช่นนี้ควรดูแลร่างกายอย่างไร”