ตู้จื่อเฟยใจมุ่งมั่นที่จะเอาชนะอ้ายจื่อจิน จึงรีบชิงตอบ “ย่อมเป็น ‘นอนดึกตื่นเช้า เดินออกกำลังในบ้าน ปล่อยมวยผมคลายอาภรณ์ ทำใจให้ปลอดโปร่ง’ ในฤดูใบไม้ผลิ ทุกสรรพสิ่งก่อกำเนิดเจริญงอกงาม ลมปราณหยางฟื้นคืน ลมปราณหยางของคนก็เริ่มก่อกำเนิดเช่นกัน หากนอนดึกตื่นเช้า เดินออกกำลังในบ้านให้ร่างกายผ่อนคลายได้ ลมปราณตับก็จะคล่องตัวไม่ติดขัด”
หลินเต๋ออีพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนหันไปถามอ้ายจื่อจิน “จื่อจิน เจ้าลองว่ามา”
อ้ายจื่อจินคิดไม่ถึงว่าหลินเต๋ออีจะขานชื่อตน ในใจตกตะลึงเล็กน้อย เห็นตู้จื่อเฟยส่งสายตามุ่งร้ายเต็มเปี่ยมมาอีก นางจึงก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพูดชัดถ้อยชัดคำ “ศิษย์พี่ตู้กล่าวหลักสำคัญออกมาแล้ว สำหรับจื่อจินคิดว่าอาจเป็นการเล่นว่าว”
“เล่นว่าว?” ตู้จื่อเฟยหัวเราะหยัน “เจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นเด็กอยู่หรือ”
อ้ายจื่อจินไม่อยากจะมีปัญหากับเขา จึงไม่โต้แย้ง “ศิษย์พี่กล่าวถูกต้อง จื่อจินคิดง่ายดายเกินไป”
ตู้จื่อเฟยไหนเลยจะยอมปล่อยนาง แค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชากล่าว “วันหลังอ่านตำราให้มากหน่อย ตรึกตรองให้มาก อย่าได้พูดคำตอบอันไร้แก่นสารส่งเดชตามใจชอบเพื่อหวังตบตาให้ผ่านไป”
ถ้อยคำนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้แก่หลินเต๋ออี เขาปราดมองตู้จื่อเฟยแวบหนึ่งโดยไม่แสดงอาการ เพียงหันไปถามอ้ายจื่อจิน “การเล่นว่าวมีมาแต่โบราณ ข้าคิดไม่ตกว่านอกจากเพราะความสนุกของเด็กแล้ว เหตุใดเจ้าจึงนึกถึงการเล่นว่าว”
อ้ายจื่อจินเห็นหลินเต๋ออีถามตน ในใจตระหนักว่าหากไม่ตอบจะเข้าข่ายโป้ปดเลื่อนลอย ยิ่งจะทำให้ตู้จื่อเฟยเข้าใจผิด นางจึงตอบว่า “เล่นว่าวถือเป็นการออกไปเที่ยวชมธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิ สอดคล้องกับคำโบราณ ‘เดินออกกำลังในบ้าน’ เวลาคนเล่นว่าวจำเป็นต้องแหงนคอ เช่นนี้เป็นการยืดคลายกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เส้นลมปราณตู* บนกระดูกสันหลังขยายตัว เส้นลมปราณตูคือเส้นลมปราณหยางที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ลมปราณหยางไหลเวียนก่อเกิดและแพร่กระจายในเส้นลมปราณตู พ้องรับกับหลักลมปราณหยางก่อกำเนิดในฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ยามเล่นว่าว สองตาจำต้องมองไกลออกไป ดวงตาถือเป็นหน้าต่างของตับ กระทำเช่นนี้ยังช่วยปรับสมดุลให้ลมปราณตับปลอดโปร่ง”
“ไม่เพียงเป็นการท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ยังช่วยปรับสมดุลในเส้นลมปราณตู เห็นทีวันหลังควรออกมาเล่นว่าวให้มากแล้ว” หลินเต๋ออีหัวเราะร่า ดวงตาเปี่ยมแววชื่นชม “ดูท่าเจ้าก็มีความรู้ด้านเส้นลมปราณมากทีเดียว”
“ศาสตร์แห่งเส้นลมปราณครอบคลุมหมื่นพัน จื่อจินรู้เพียงผิวเผิน วันนี้พูดจาเพ้อเจ้อ ขออาจารย์โปรดอภัย” อ้ายจื่อจินฟังความนัยในวาจาหลินเต๋ออีออก จึงกดคางลงต่ำไม่ให้ตนเองประสานสายตากับเขา
“เพียงพูดคุยปกติเท่านั้น ไฉนมีขออภัยไม่ขออภัยด้วยเล่า” หลินเต๋ออีเอ่ยยิ้มๆ หางตากลับปรายมองไปทางตู้จื่อเฟย
ตู้จื่อเฟยสัมผัสถึงแววตาตักเตือนของหลินเต๋ออี ในใจเขาพลันบังเกิดโทสะแต่ไม่อาจระบายออก ได้แต่อาศัยตอนที่หลินเต๋ออีไม่ใส่ใจ ถลึงตาเหี้ยมใส่อ้ายจื่อจินคราหนึ่ง
ในใจอ้ายจื่อจินรู้ว่าตนเองไม่อาจพูดมากได้อีก หลังจากนั้นไม่ว่าหลินเต๋ออีถามอะไรก็ล้วนแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ซึ่งพอจะทำให้ตู้จื่อเฟยสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
เดินไปราวสามก้านธูป ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงวัดหนานซาน ด้านในวัดตีระฆังย่ำรุ่งพอดี ภิกษุเริ่มทำวัตรเช้า เสียงสวดมนต์ศักดิ์สิทธิ์รื่นหูดุจมีพลังพิเศษบางอย่าง พาให้คนบังเกิดความเคารพนับถืออย่างไม่อาจอธิบายได้ ทั้งสามยืนอยู่หน้าอุโบสถครู่หนึ่งก็มีเณรน้อยออกมาต้อนรับ ก่อนจะนำพวกเขาเข้าไปในห้องหนึ่ง หลวงจีนที่นอนอยู่บนเตียงสีหน้าหมองคล้ำเล็กน้อย คิ้วขมวดแน่นอย่างทรมาน
“กินยามาสามวันแล้ว ผลเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเต๋ออีถามพลางเลิกผ้าห่มขึ้น กลิ่นเหม็นเน่าขุมหนึ่งโชยมาปะทะทันที เห็นเพียงตุ่มหนองที่บวมเป็นภูเขาลูกย่อมบนข้อเท้าหนาแข็งแรงของภิกษุรูปนี้กำลังมีเลือดหนองไหลซึมออกมาไม่หยุด ที่แท้ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันระหว่างที่หลวงจีนรูปนี้ออกบิณฑบาตได้ถูกแมลงไม่ทราบชื่อกัดที่ข้อเท้าเข้า สามวันก่อนหลินเต๋ออีมาตรวจได้จ่ายยาผงระบายหนองให้เขาไป
“หนองออกมาแล้ว แต่ศิษย์พี่ตัวร้อนจี๋จนลวกคนได้เลย” เณรน้อยเอ่ยอย่างเป็นกังวล
“นี่เป็นอาการตามธรรมชาติ ยามปกติใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวเขาให้มากหน่อย” หลินเต๋ออีใคร่ครวญ “การรักษาวันนี้คือดูดหนองของเขาออกมาให้เร็วที่สุด จื่อเฟย เจ้าว่าควรใช้วิธีใด”
ตู้จื่อเฟยเอ่ยอย่างลำบากใจ “อาจารย์ขอรับ พวกเราไม่เคยรักษาคนไข้ประเภทนี้มาก่อน ข้า…”
ในใจอ้ายจื่อจินมีความคิดอันเลือนรางผุดขึ้น ด้วยติดที่ตู้จื่อเฟยจึงกำลังคิดว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ ขณะที่ลังเลนางก็สัมผัสได้ถึงสายตาไต่ถามจากหลินเต๋ออี จำต้องเงยหน้าตอบเสียงเบา “อาจใช้วิธีครอบกระบอก ได้เจ้าค่ะ”
“วิธีครอบกระบอก?” หลินเต๋ออีดวงตาเป็นประกาย “เจ้ารู้จักวิธีนี้รึ เคยทำหรือไม่”
ระฆังเตือนภัยในใจอ้ายจื่อจินดังก้อง นางรีบร้อนส่ายหน้า “ข้าเพียงเคยอ่านจากตำราแพทย์ ใน ‘ตำรารักษาโรคฉุกเฉิน’ มีวิธีดูดฝีหนองออกด้วยเขาสัตว์” กล่าวจบนางก็รีบก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตาสืบหาความจริงของหลินเต๋ออี
หลินเต๋ออีมองนางอย่างมีความในใจ พลางลูบเครากล่าว “ในเมื่อเจ้าเคยอ่านตำราก็มาช่วยข้า”