บทที่สอง
อ้ายจื่อจินรีบร้อนดึงสลักประตูออกตั้งท่าจะเปิดประตู ทันใดนั้นแรงค้ำยันที่ประตูก็หายไป ต่อด้วยเสียงตวาดดังขึ้น “เจ้าโจรกบฏ กล้าหลบหนีรึ! คอยดูว่าข้าจะตีเจ้าตายได้หรือไม่!”
อ้ายจื่อจินลอบแง้มประตู แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากปากตรอก ใต้แสงจันทร์สีขาวสลัวเห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งในชุดทางการ มือถือตะบองยาวกำลังทุบตีชายที่เห็นใบหน้าได้ไม่ชัดคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง ในมุมมืดอีกด้านมีบุรุษชุดแพรท่าทางเคร่งขรึมจริงจังยืนหันหลังอยู่ผู้หนึ่ง กำลังหัวเราะอย่างน่าขยะแขยง “หากส่งสมุดรายชื่อมาให้ข้า ก็ยังพอละเว้นชีวิตสุนัขของเจ้าได้บ้าง หาไม่ข้าจะทำให้เจ้าเป็นเช่นหยางเหลี่ยน ผู้นั้น ตะปูขึ้นทั่วตัว!”
มองผ่านช่องประตูออกไป อ้ายจื่อจินเห็นชายผู้นั้นถูกซ้อมเลือดซึมเป็นลายพร้อยทั่วร่าง นางเสียขวัญจนต้องยกมือปิดปาก
ชายที่น่าจะอายุราวสามสิบปีผู้นั้นคลานอยู่บนพื้น ยังคงตะเกียกตะกายไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก รอยเลือดที่ทิ้งไว้ด้านหลังถูกแสงจันทร์ส่องเป็นสีแดงเข้มอันแปลกประหลาด
“ยังจะกล้าหลบหนี?! บอกมาเดี๋ยวนี้ สมุดรายชื่อของพรรคตงหลิน อยู่ที่ใด!” คนในชุดแพรกระชากร่างเขาขึ้น
“จะฆ่าอย่างไรก็ตามใจ! คิดอยากได้สมุดรายชื่อ? ให้ขันทีชั่วแซ่เว่ยผู้นั้นฝันไปเถอะ!” ชายผู้นั้นราวไม่กลัวความตาย ถ่มน้ำลายปนเลือดใส่หน้าคนชุดแพร
“มารดามันเถอะ! กล้าด่าว่าหยามเกียรติพระเก้าพันปี เชียวรึ! ขวัญกล้าเหิมเกริมดีนัก!” คนชุดแพรเช็ดหน้าคราหนึ่ง ความอับอายกลายเป็นโทสะ ฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าเขาติดๆ กันอย่างหนักหน่วง “โทษที่เจ้าถ่มน้ำลายใส่ข้า โทษที่เจ้าถ่มน้ำลายใส่ข้า!”
ชายชุดเทาทรุดลงกับพื้นดุจว่าวสายป่านขาด เลือดกระเซ็นออกมาจากจุดไท่หยางบริเวณขมับ ภายใต้แสงจันทร์ยิ่งดูน่าอกสั่นขวัญแขวน
“ข้าสั่งให้ตี!” คนชุดแพรไม่มีจิตใจสงสารแม้แต่น้อย ตะบองกระหน่ำลงบนร่างคนชุดเทาชุลมุนดุจห่าฝน ทุบตีกระทั่งผิวหนังปริแตกเนื้อตัวแหลกเหลว กระนั้นเขาก็ยังกัดฟันแน่นไม่ร้องแม้สักแอะ
เมฆดำจากที่ใดไม่รู้ค่อยๆ เคลื่อนมาบดบังพระจันทร์ที่สาดแสงเย็นยะเยียบ พื้นดินมืดลงทันใด พาให้ใบหน้าไม่เหลือเค้าเดิมของชายชุดเทามืดลงไปด้วย เผยเพียงฟันขาวน่าสะพรึงดุจภูตผี อาจเพราะคนทั้งหลายนึกถึงผีร้ายคร่าชีวิตในตำนานขึ้นมา ทั้งหมดจึงหยุดมือลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“หยุดมือทำไมกัน ข้าสั่งให้ตีต่อ!” คนชุดแพรเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด คนทั้งหลายจำต้องฟาดไปบนร่างคนผู้นั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
คนผู้นั้นยังคงแผดเสียงก่นด่าสุดชีวิต “เว่ยจงเสียนใช้มือเดียวปิดแผ่นฟ้า ใส่ร้ายคนดี สวรรค์ไร้ตาโดยแท้! ข้าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้า เป็นผีก็ไม่…” น้ำเสียงจู่ๆ ก็ขาดห้วง ประจวบกับที่มีตะบองหนึ่งฟาดลงมากลางกระหม่อม ชั่วพริบตาเลือดก็ไหลทะลักออกจากรูหู มุมปาก และรูจมูกของเขา
“เขาตายแล้ว!” มีคนร้องตกใจ ในที่สุดคนทั้งหมดก็หยุดทุบตี
สีหน้าคนชุดแพรคล้ายเปลี่ยนไป ร้องขึ้นว่า “มารดาเถอะ! ตายเร็วปานนี้!”
“ใต้เท้ากัว ยังไม่ได้สมุดรายชื่อจะรายงานต่อเบื้องบนอย่างไรขอรับ”
“รายงานอย่างไร” คนชุดแพรขึงตาใส่คนถามอย่างโมโห “ไปดูที่บ้านมันอีก”
หลังจากนั้นคนทั้งหมดก็จากไป เลือดสดนองทั่วพื้น เกิดเป็นสีอันคลุมเครือในความมืด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วตรอกเล็ก อ้ายจื่อจินที่เห็นทั้งหมดนี้กับตาขวัญเสียจนพูดไม่ออกไปตั้งนานแล้ว เป็นชั่วครู่นางถึงค่อยมีสติ เปิดประตูเดินออกมา และไปคุกเข่าข้างหนึ่งที่ข้างกายชายชุดเทา
บุรุษผู้นี้ใบหน้าติดจะยาวกว่าคนปกติ มุมปากขวามีไฝสีดำหนึ่งที่ อ้ายจื่อจินอึ้งไปชั่วขณะ เอื้อมมือไปตรวจสอบลมหายใจที่จมูกเขา ก่อนจะจับชีพจร สุดท้ายจึงหมอบกับหน้าอกของเขา พลางเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด
ตอนนี้เอง เสียงพึมพำอู้อี้ต่ำๆ เสียงหนึ่งก็คล้ายผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของนรก อ้ายจื่อจินชะงักไป พลางถลึงตามองบุรุษเลือดอาบทั่วกายที่นอนอยู่บนพื้นอย่างหวาดกลัว