อ้ายจื่อจินจดจำสายตากัวรั่วซินไว้ในใจ ยิ่งรักษาระยะห่างกับเสิ่นซือมากขึ้น ควันเครื่องหอมเฉียหนานเซียงฟุ้งตลบ ในอากาศอบอวลไปด้วยความอึดอัดและคลุมเครือ อ้ายจื่อจินจิบชาไปพลางก้มหน้าครุ่นคิดไปพลาง
‘จื่อจิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง’
น้ำเสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยดังขึ้น คล้ายไปสะกิดส่วนลึกที่สุดในหัวใจของอ้ายจื่อจิน วันเวลาที่เลยผ่านพลันจู่โจมเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าว นางผงะอึ้ง เมื่อสบกับนัยน์ตาลึกซึ้งตรึงใจของเสิ่นซือก็ลนลานก้มหน้าลงไปอีก
‘จื่อจิน เจ้ามาหาข้าวันนี้ ข้าดีใจมากจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่อภัยให้ข้า ไม่ยอมพบหน้าข้าอีก’
ประโยคหลังประหนึ่งฟ้าร้องเลื่อนลั่นปลุกให้อ้ายจื่อจินได้สติ นางลุกขึ้นยืน หมุนตัวหันไปมองฝนที่เทกระหน่ำอยู่นอกหน้าต่าง แล้วถอนใจแผ่วเบา ‘ใต้เท้าไม่เคยทำเรื่องผิดต่อจื่อจิน จื่อจินจะยกโทษหรือไม่ยกโทษอะไรได้’
น้ำเสียงห่างเหินของอ้ายจื่อจินพาให้เสิ่นซือตกตะลึงชั่วขณะ เขายังไม่ทันกล่าววาจาก็ได้ยินอ้ายจื่อจินเอ่ย ‘ใต้เท้าเสิ่น ผู้น้อยมาครั้งนี้ก็เพราะต้องการขอร้องใต้เท้าเสิ่นเรื่องหนึ่ง ข้าอยากขอให้ใต้เท้าเสิ่นช่วยพ่อลูกสกุลเฉียวด้วย’
เสิ่นซือเห็นอ้ายจื่อจินขอร้องแทนสกุลเฉียวเช่นนี้ เขาก็พูดอย่างไม่พอใจ ‘ตามที่ข้าทราบมา แม่นางอ้ายไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับสกุลเฉียวแล้ว’
‘ไม่ว่าข้าจะเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียวหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ข้าเพียงเห็นว่าพ่อลูกสกุลเฉียวล้วนแต่เป็นคนดี หมอหลวงเฉียวมานะบากบั่นมาตลอดสิบปี รับใช้ฝ่าบาทในวังหลวงจนสุดความสามารถ เฉียวจือซูแม้ไม่เคยรับราชการ ทว่าใจที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และแผ่นดินนั้นฟ้าดินสามารถเป็นพยานได้ โรงแพทย์ที่รักษาคนในเมืองหลวง ไม่ว่าจะขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปจนถึงชาวบ้านที่ต่ำสุด เขาก็ไม่แบ่งแยก ยากดีมีจนล้วนปฏิบัติอย่างเสมอกัน จนได้รับขนานนามว่า ‘หมอคุณธรรม’ แม้แต่ราชครูซุนเฉิงจงยังชมเชยเขาเป็นเท่าทวี แผ่นป้าย ‘ต้าอีจิงเฉิง’* ที่แขวนอยู่ในโรงแพทย์จิงเฉิงก็เป็นแผ่นป้ายที่ราชครูซุนเขียนให้เฉียวจือซู’
‘การวางตัวของพ่อลูกสกุลเฉียวข้าเองก็เคยได้ยิน แต่หลายปีมานี้ข้าเห็นมามาก คนดีบางทีก็อาจกระทำความผิดเพราะกิเลสส่วนตนชั่วขณะ’ เสิ่นซือยืนมือไพล่หลัง ท่าทางยึดมั่นในหลักการ ‘คดีลูกกลอนแดงเกี่ยวพันกับวงกว้าง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับกบฏ…’
‘พ่อลูกสกุลเฉียวไม่มีทางเป็นกบฏแน่นอน!’ อ้ายจื่อจินโพล่งออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก่อนชะงักงันเมื่อรู้ว่าตนเองเสียกิริยา จึงเบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงต่ำ ‘ข้าได้ยินว่าลูกกลอนแดงนี้เป็นหลี่เข่อจั๋วขุนนางผู้ช่วยของศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ถวายแด่อดีตฮ่องเต้’
‘แต่หลังจากอดีตฮ่องเต้สวรรคต เฉียวเหยี่ยนคือคนแรกที่มองออกว่าเป็นลูกกลอนแดง ทั้งหลี่เข่อจั๋วยังยืนกรานหนักแน่นว่าลูกกลอนแดงนั้นเฉียวเหยี่ยนเป็นคนให้เขา’ เสิ่นซือจ้องนางพลางเอ่ย ‘นอกจากมีหลักฐานพิสูจน์ว่าหลี่เข่อจั๋วกำลังโป้ปด…’
‘หลี่เข่อจั๋วพูดปด! ถึงเขาเคยมาบ้านสกุลเฉียวจริง แต่ข้ายืนยันได้ว่าตอนเขาจากไปมิได้นำยาลูกกลอนอะไรติดตัวไปเลย’
‘เขาเคยไปหาเฉียวเหยี่ยน?’ นัยน์ตาเสิ่นซือคล้ายมีประกายแสงวูบ ไม่นานนักก็เร้นหายไปภายใต้ขนตาที่หลุบลง
อ้ายจื่อจินใคร่ครวญและกล่าว ‘ถึงเขาเคยมา แต่หาได้มาเพื่อลูกกลอนแดง เขามาเพื่อให้ท่านพ่อ…หมอหลวงเฉียวรักษาโรคที่ขา’
‘เช่นนั้นหรือ’
‘ใช่!’ อ้ายจื่อจินพยักหน้าอย่างมั่นใจ เห็นใบหน้าเสิ่นซือเรียบสงบ นางก็บอกไม่ถูกว่าเขาเชื่อคำพูดตนเองหรือไม่ จึงได้แต่เอ่ยอีกว่า ‘ข้าได้ยินว่าลูกกลอนแดงถูกปรุงขึ้นโดยหมอหลวงผู้หนึ่งสมัยรัชศกจยาจิ้ง หมอหลวงผู้นั้นภายหลังต้องโทษประหาร สกุลเฉียวเป็นหมอหลวงมาสามรุ่น ไม่มีทางเป็นลูกหลานของหมอหลวงผู้นั้นแน่’
‘เขาย่อมไม่ใช่คนรุ่นหลังของหมอหลวงผู้นั้น’ เสิ่นซือกล่าว ‘ผู้ใดเป็นผู้กล่าวว่ามีเพียงลูกหลานของหมอหลวงผู้นั้นเท่านั้นที่รู้ตำรับยาลูกกลอนแดง’
อ้ายจื่อจินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางถามขึ้น ‘นี่หมายความว่าอย่างไร’