ฝนตกหนักขึ้น เสียงโหวกเหวกก็ยิ่งดังขึ้น ความเดือดดาลในใจราษฎรที่มีต่อทางการจึงได้อาศัยชั่วขณะนี้ระบายออกมาจนหมดสิ้น ทั้งยังบีบองครักษ์เสื้อแพรผู้ที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการเช่นไรให้เข้าไปยังทางตัน มีองครักษ์เสื้อแพรสองสามคนเห็นท่าไม่ดี รีบร้อนแทรกตัวออกจากกลุ่มคนไปส่งข่าวรายงาน
เจ้าเมืองนครหลวงเห็นอาวุธขององครักษ์เสื้อแพรถูกชิงไปก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ทั้งปีนทั้งคลานแทรกตัวไปด้านหลัง ชาวบ้านที่ปกติถูกกดขี่ข่มเหงไหนเลยจะยอมปล่อยไป รุมขวางเส้นทางเขาเอาไว้ พร้อมเตะต่อยเขาไปด้วย ก่อนจะใช้ช่วงชุลมุนนี้แก้มัดเชือกบนตัวเฉียวจือซู รวมทั้งเฉียวจือเยวี่ยกับเฉียวจือมั่นออก
‘ท่านหมอเฉียว รีบหนีไป! ปล่อยเจ้าหน้าที่สุนัขนี่ให้พวกเรา!’ ชายฉกรรจ์เอ่ย
เฉียวจือซูกลับไม่ยอมขยับตาม ตะโกนบอกฝูงชนผู้มีจิตใจฮึกเหิมกลุ่มนี้ว่า ‘ขอทุกคนโปรดหยุดมือด้วย!’
คนทั้งหลายที่ถูกปลุกปั่นจนฮึกเหิม จู่ๆ ได้ยินเสียงเฉียวจือซูก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย จึงหยุดและมองไปทางเฉียวจือซูโดยพร้อมเพรียงก่อนพูดว่า ‘ท่านหมออย่าได้กลัวเจ้าหน้าที่สุนัขพวกนี้ มีพวกเราอยู่ไม่มีทางให้ท่านได้รับความไม่เป็นธรรมแม้แต่นิดเดียวแน่นอน!’
‘ผู้แซ่เฉียวขอขอบคุณในน้ำใจของท่านทั้งหลาย! อดีตฮ่องเต้สวรรคต คดีลูกกลอนแดงจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่กระจ่าง หากข้าจากไปอย่างไม่ขาวสะอาด ย่อมเป็นการไม่ภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ กอปรกับบิดาของข้ายังถูกใส่ร้ายเข้าคุก หากข้าจากไปไม่เพียงเป็นการเนรคุณ ยังไม่อาจลบล้างความผิดของสกุลเฉียวของข้าได้ ไม่ภักดีไม่กตัญญูเช่นนี้หาใช่ตัวข้าไม่ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่อาจให้ท่านทั้งหลายต้องทุกข์ยากด้วยเรื่องส่วนตัวของข้าเช่นนี้!’ เขาโค้งคารวะต่ำอย่างยิ่ง พลางเอ่ยอย่างจริงใจ ‘ขอท่านทั้งหลายโปรดหลีกทางให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้พาผู้แซ่เฉียวไปอย่างสะดวกด้วย!’ เขาเงยหน้าและกวาดตามองฝูงชนที่กำลังมองตนเองอย่างจริงใจ รู้สึกเพียงกระแสอุ่นร้อนรื้นขึ้นในดวงตา ฝนพร่างพรมดุจกางตาข่ายผืนหนึ่งออก เบื้องหน้าสายตาเขาพร่าเลือนขึ้นทุกที เขาสูดหายใจลึก หันหน้าไป ก่อนที่สายตาจะชะงักค้าง
นัยน์ตานางยังคงเปล่งประกายพราวระยับ ยังคงมีท่าทีคล้ายอยากกล่าวสิ่งใดแต่ยับยั้งเอาไว้ ดวงตานางที่กั้นด้วยม่านพิรุณดุจม่านโปร่ง สะท้อนเข้ามาในส่วนลึกของตาเขา
อ้ายจื่อจิน หญิงสาวที่เขารักมาตลอดสี่ปี ทั้งยังรอคอยนานถึงสามปี หญิงสาวผู้ที่หนึ่งปีก่อนเขาแต่งนางเข้าสกุลแต่กลับหย่าขาดไปเมื่อยี่สิบกว่าวันก่อนหน้า เขานึกว่านางจะไม่มา ยังคิดว่าตั้งแต่วันที่หย่านาง เขาจะไม่ได้พบนางอีกเสียแล้ว ที่ผ่านมานางไม่เคยรักเขา นางแต่งงานกับเขาเพียงเพราะคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของมารดา เขาฝืนสู่ขอนางด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะรักเขาขึ้นมาได้
ทว่าในหนึ่งปีที่เขาแต่งนางเป็นภรรยานั้น แม้เขาจะโอบกอดนางเข้าสู่ห้วงนิทราทุกค่ำคืน แต่จนแล้วจนรอดในใจก็ยังคงละอาย หลังฮ่องเต้กวงจงประชวรจนสวรรคต เขาคาดเดาได้ว่าสกุลเฉียวอาจจะตกสู่วังวนแห่งการแก่งแย่งอำนาจของวังหลวง เขาตัดใจหย่าขาดจากนาง เพื่อให้นางสามารถหลุดพ้นหายนะคราวนี้ เขาคิดว่านางจะเกลียดชังเขา อย่างไรเสียก็เป็นเขาที่ทำให้นางต้องไปจากบ้านสกุลเฉียวอย่างอัปยศท่ามกลางเสียงติฉินนินทาของผู้คน เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าวันนี้นางยังคงมา
‘ผู้ใดริก่อกบฏ!’ องครักษ์เสื้อแพรอีกกลุ่มหนึ่งเร่งรุดมาถึง ตัดบทความคิดหมื่นพันที่พรั่งพรูขึ้นมาชั่วขณะของเฉียวจือซู
‘เร็วเข้า รีบจับตัวชาวบ้านดื้อด้านพวกนี้ไปเสีย!’ เจ้าเมืองนครหลวงที่ถูกบีบให้ไปอยู่ในมุมหนึ่งรีบโพล่งขึ้นมา
ขณะที่หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรกำลังจะออกคำสั่ง ข้อมือของเขาก็พลันเกร็งเขม็งด้วยถูกเฉียวจือซูกุมเอาไว้ เงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงประกายคมปลาบจากดวงตาของคนตรงหน้า ประหนึ่งกระชากวิญญาณคนได้ เขาถึงขั้นพูดไม่ออกโดยไม่รู้ตัว
‘พวกเขาเป็นเพียงราษฎรผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไปกับท่านแน่ อย่าได้ทำร้ายพวกเขา!’ เฉียวจือซูเอ่ยเสียงเฉียบ
องครักษ์เสื้อแพรคล้ายตะลึงงันในท่าทีไม่เกรงกลัวความตายของเขา กระทั่งตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่
‘ผู้แซ่เฉียวขอบคุณพี่น้องทั้งหลาย ปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวน้ำค้างมาก ขอท่านทั้งหลายโปรดรักษาสุขภาพ รีบกลับบ้านโดยเร็วเถิด’ เสียงเขาไม่ดังแต่ชัดถ้อยชัดคำยิ่ง เวลาเพียงไม่นานกลับกระตุ้นให้ฝูงชนน้ำตาไหลพราก ทว่าท้ายที่สุดก็ยังคงแหวกทางให้