อ้ายจื่อจินไม่เคยถอยไปจากใจกลางตรอกเล็กนี้ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ รอบตัวนางเลือนรางกลายเป็นประกายน้ำระยับ เฉียวจือซูคือสีสันเดียวท่ามกลางผืนน้ำระยับนี้ที่กำลังย่างเข้ามาหานางทีละก้าว
จู่ๆ ร่างกายก็ถูกแรงขุมหนึ่งผลักออก นางคล้ายได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาจากที่แสนไกล ‘ถอยไป!’
สิ่งแวดล้อมรอบด้านชัดเจนขึ้นอีกครั้ง รวมถึงฝนที่ตกลงมา ร่มร่วงลงพื้นเมื่อใดก็สุดรู้ ยามนี้เฉียวจือซูได้หายไปจากสายตานางแล้ว นางถึงขนาดไม่ทันเห็นสภาพเขายามเดินผ่านข้างกายนางเสียด้วยซ้ำ
ใบหน้าอ้ายจื่อจินชื้นไปทั้งหน้าโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนหรือน้ำตา ยามนี้นางแยกแยะไม่ได้แล้ว ฝูงชนข้างตัวคล้ายมองออกว่าเป็นนางจึงพากันซุบซิบนินทา ทว่านางไม่แยแสสิ่งใดอีก เพียงหมุนตัวเดินไปยังทางทิศเหนือของเมือง…ทิศเหนือของเมืองเป็นที่พักของจ้วงหยวน* เสิ่นซือ
เสิ่นซือผู้นี้สุภาพอ่อนโยน ทั้งยังสง่างามน่านับถือ แม้อายุเพียงแค่ยี่สิบสามปี แต่เขาก็มีตำแหน่งสำคัญแล้ว ซ้ำยังเป็นลูกเขยขี่มังกร** ของผู้ตรวจการกัวหรูฉู่ เป็นขุนนางหนุ่มที่มีความสามารถที่สุดในราชสำนักขณะนี้ เคยเขียนโคลงยาวร้อยกว่าตัวอักษรได้ในเวลาหนึ่งก้านธูป คนในเมืองหลวงเล่าลือกันว่าเขายุติธรรมไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เคยคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรหนึ่งคืนเต็มเพื่อคดีใส่ความคดีหนึ่ง ทั้งยังลือกันอีกว่าเขาเป็นคนประเภทแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลม*** ไม่กล้าย้ายเข้าคฤหาสน์พ่อตากัวหรูฉู่ เป็นขุนนางได้หนึ่งปีแล้วก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนเก่าซอมซ่อ ยามลมพัดลมรั่ว ยามฝนตกฝนรั่ว ยังมีคนเห็นเสิ่นจิ่วพ่อบ้านประจำตัวของเสิ่นซือปีนขึ้นไปซ่อมหลังคากลางดึกอยู่เลย
ทว่าเสิ่นซือหาได้เป็นเพียงจ้วงหยวนและลูกเขยขี่มังกรของกัวหรูฉู่เท่านั้น เขายังเคยเป็นพี่ชายข้างบ้านคนสนิทของนาง เรียกได้ว่า ‘เด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่ อ้อมบ่อน้ำไล่จับเหมยเขียว’**** ตอนปีที่เขาย้ายมาอยู่ใกล้กับบ้านนาง นางก็อายุแค่เจ็ดขวบ ส่วนเขาอายุประมาณสิบขวบเท่านั้น ทั้งที่นางยังไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเรียกว่า ‘คำสาบานตราบฟ้าดินสลาย’ แต่ก็ยังเอ่ยต่อเขาอย่างจริงใจใต้ต้นเหมยในลานบ้านว่า ‘พี่เสิ่น วันข้างหน้าจื่อจินจะเป็นภรรยาพี่’
คำหยอกล้อในวัยเยาว์คงมีเพียงนางที่เห็นเป็นคำมั่นสัญญาอยู่ฝ่ายเดียว นางเฝ้ารอเป็นภรรยาของเขาทุกวัน
นางเป็นเพื่อนเล่นกับเสิ่นซืออยู่ห้าปี จากนั้นเขาก็ออกไปเล่าเรียนวิชาภายนอก รอกระทั่งสี่ปีก็ได้รับข่าวว่าเขาสอบได้จ้วงหยวนในที่สุด ทว่าขณะเดียวกันยังได้รับข่าวว่าเขาสู่ขอกัวรั่วซิน บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้ตรวจการกัวหรูฉู่ นางจำได้แต่ถ้อยคำที่เขาพูดกับนางก่อนไปว่า ‘รอข้า สักวันหนึ่ง ข้าจะกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า’
ท่านแม่ของนางได้ยินข่าวนี้แล้วก็เกิดอาการจ้งเฟิง* ทันที นางไม่อาจนั่งรออย่างใสซื่อที่ใต้ต้นเหมยเหมือนเช่นแต่ก่อนได้อีก นางทำได้เพียงส่งท่านแม่ไปยังหน้าประตูโรงแพทย์จิงเฉิง…นางคิดว่านับจากนั้นเขาและนางคงไม่มีวันไปมาหาสู่กันอีก
แต่ครั้งนี้นางจำเป็นต้องไปหาเสิ่นซือ เพราะเขาคือผู้ช่วยผู้พิพากษาคดีลูกกลอนแดงครานี้ โดยไม่รู้ตัวนางก็เดินมาถึงทางเหนือของเมือง ที่นี่มีฝนตกหนักเช่นเดียวกัน เมฆดำปกคลุม ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายกดดันบางอย่าง ประตูจวนสกุลเสิ่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ ที่แห่งนี้ยังคงเป็นเช่นเมื่อสี่ปีที่แล้ว…เก่าแก่และเรียบง่าย
อ้ายจื่อจินหยุดฝีเท้า ในใจอดกังวลไม่ได้ นางบอกไม่ถูกว่าเพราะกังวลว่าเสิ่นซือจะไม่ยอมพบตน หรือกลัวการพบเสิ่นซืออีกครั้งกันแน่ สุดท้ายนางตัดสินใจหมุนตัวจะจากไป พลันประตูก็เปิดออก เงาร่างอันคุ้นตาและแปลกหน้าปรากฏที่หน้าประตู สายฟ้าแลบจนแสงสว่างกระจายไปทั่วท้องฟ้าและส่องเข้าสู่ดวงตาของเสิ่นซือ อ้ายจื่อจินมองเห็นตนเองในดวงตาเขา พริบตาเดียวแสงสีขาวก็วาบผ่านไป ใบหน้าเสิ่นซือกลับมาดำมืดอีกครั้ง เวลาเดียวกันเสียงฟ้าร้องก็ดังครืนระลอกหนึ่ง อ้ายจื่อจินถอยหลังสองก้าวทันใด ร่มในมือร่วงลงพื้น ราวกับตกใจเสียงฟ้าร้อง