‘ไฉนจึงมาตากฝนเล่า’ เสิ่นซือตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นอ้ายจื่อจินเปียกฝนก็มีสีหน้าห่วงใยปรากฏขึ้นในพริบตา เขารีบร้อนกางร่มให้อ้ายจื่อจิน มือเท้าลนลาน คิดเข้าไปเช็ดหยดน้ำบนเรือนผมนาง อ้ายจื่อจินรีบก้มศีรษะหลบมือของเขาที่เอื้อมมา มือของเสิ่นซือชะงักกลางคัน ท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างที่สุด เขานึกถึงฐานะของทั้งคู่ในยามนี้ขึ้นได้
‘ไยท่านพี่ไม่เชิญเฉียวฮูหยินเข้ามา’ ในประตูแว่วเสียงเย็นเยือก
ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังตกทั่วฟ้านี้ชวนให้อ้ายจื่อจินใจกระตุกวูบ นางเงยหน้าเห็นเสิ่นฮูหยินหรือก็คือกัวรั่วซินยืนหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างประตู
สีหน้าเสิ่นซือประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวคล้ำ ก่อนจะดึงมือกลับมาจากเหนือศีรษะอ้ายจื่อจิน ยกขึ้นลูบผมตนเองอย่างประดักประเดิด แล้วเอ่ยเสียงต่ำ ‘บัดนี้จื่อจินไม่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเฉียวแล้ว’
‘อ้อ ข้าลืมไปเสียสนิท ยี่สิบวันก่อนเฉียวจือซูหย่าแม่นางอ้ายแล้วนี่ แม่นางอ้ายช่างชะตาดีเหลือเกิน หากมิใช่ถูกหย่าขาดเพราะมีลูกไม่ได้ เกรงว่ายามนี้คงต้องติดคุกเช่นเดียวกัน เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าท้องเจ้านี้ได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่องกันแน่หนอ!’ กัวรั่วซินชายตามองอ้ายจื่อจินอย่างเย้ยหยันเสียดสี
สภาพฝนคล้ายตกหนักขึ้น อ้ายจื่อจินมองกัวรั่วซินที่เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็งวูบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวคิดจากไปโดยไม่เอ่ยวาจาสักคำ
‘จื่อจิน!’ เสิ่นซือรั้งนางไว้ ‘กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เข้ามาพูดข้างในเถิด’ เขาพูดโดยไม่สนใจสีหน้าที่ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ของกัวรั่วซิน ลากอ้ายจื่อจินเข้าห้องหนังสืออย่างไม่รอให้โต้แย้งได้อีก
ในห้องหนังสือมีกลิ่นหอมอุ่นสบายเพราะจุดเฉียหนานเซียง* ชั้นดีเอาไว้ จู่ๆ อ้ายจื่อจินก็คิดไปถึงห้องหนังสือของเฉียวจือซู เฉียวจือซูเองก็ชอบจุดเครื่องหอมไว้เช่นกัน โดยจะจุดเป็นธูปอ้ายเซียง คนผู้นั้นมักขึ้นเขาไปเก็บหญ้าอ้ายเฉ่าที่จะโตเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิด้วยตนเอง ตากให้แห้ง ครึ่งหนึ่งทำก้อนอ้ายหรงสำหรับรมยาอ้ายหรงให้ผู้ป่วย อีกครึ่งหนึ่งวางที่ห้องสำหรับจุดเผา ทั้งที่ฤดูร้อนมียุงและแมลงวันชุกชุมที่สุด แต่พวกมันกลับไม่เคยเข้าใกล้ห้องที่จุดธูปอ้ายเซียงเลย
เฉียวจือซูเคยบอกนางว่าหญ้าอ้ายเฉ่ายังมีอีกชื่อคือปิงไถ** สมัยโบราณถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เรียกไฟแห่งสวรรค์ แม่หมอจะนั่งบนแท่นสูงที่มีธูปอ้ายเซียงวางล้อมรอบ กราบไหว้ไต่ถามลิขิตสวรรค์ ด้วยเหตุนี้หญ้าอ้ายเฉ่าจึงถูกยกย่องให้เป็นสิ่งขจัดอัปมงคลมาตลอด ในวันที่ห้าเดือนห้าเทศกาลตวนอู่ยิ่งต้องแขวนหญ้าอ้ายเฉ่าไว้ที่ประตูทุกครัวเรือน เฉียวจือซูยังบอกนางอีกว่าหญ้าอ้ายเฉ่างอกในเดือนสาม ตรงกับเวลาที่ลมปราณหยางแห่งฟ้าดินก่อกำเนิด จนถึงเดือนห้าที่ลมปราณหยางกล้าแกร่ง หญ้าอ้ายเฉ่าจะโตเต็มที่ สามารถดูดซับลมปราณหยางแห่งฟ้าดินส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเข้าไปได้ เฉียวจือซูมักจะใช้หญ้าอ้ายเฉ่าในการรมยารักษาโรค ประโยคหนึ่งที่เขาเอ่ยติดปากบ่อยครั้งก็คือ ‘ใช้ลมปราณหยางของฟ้าเสริมลมปราณหยางของมนุษย์’
อ้ายจื่อจินคิดมาเสมอว่าตนเองไม่เคยรักเฉียวจือซู ย่อมคิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้นางจะยังจดจำทุกประโยคที่เขาพูดได้ ที่แท้เมื่อคุ้นเคยกับอะไรสักอย่างแล้ว ความรู้สึกก็พอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว คิดถึงตรงนี้นางก็ถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเสิ่นซือดังขึ้นที่ริมหูอ้ายจื่อจิน ‘รีบดื่มตอนยังร้อนเถิด ช่วยขับไล่ความหนาวได้’
นางเงยหน้าขึ้น เห็นเสิ่นซือรินชาให้ตนแล้วถ้วยหนึ่ง นางผงกศีรษะยกถ้วยชาขึ้น ทันทีที่ถ้วยชาจรดริมฝีปาก นางก็ได้ยินเสียงไอจึงหันหน้าไปเห็นกัวรั่วซินยืนอยู่นอกหน้าต่างขึงตามองนางดุจพยัคฆ์จ้องตะครุบเหยื่อ อ้ายจื่อจินระบายลมหายใจ ถอยออกมาเล็กน้อยให้มีระยะห่างกับเสิ่นซือ
เสิ่นซือเห็นอ้ายจื่อจินเป็นเช่นนี้ ใจก็รู้ว่าเกิดจากที่กัวรั่วซินจับตาดูอยู่ข้างหน้าต่าง จึงเดินไปริมหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับกัวรั่วซินบ้าง อีกฝ่ายถึงยอมจากไปอย่างเชื่อฟังในที่สุด ทว่าก่อนไปก็ยังหันมาถลึงตามองอ้ายจื่อจินอย่างตักเตือนแวบหนึ่ง