‘เหลวไหล!’ แม้ซุนเฉิงจงจะคาดเดาไว้แล้วว่าหลานสาวจะกล่าวคำร้องขอเช่นนี้ เขาก็ยังอดถลึงตาใส่นางไม่ได้
‘ท่านปู่ ขอร้องท่านแล้ว!’ ซุนจิ่วเม่ยดึงมือซุนเฉิงจงไว้ จ้องมองเขาด้วยดวงตาวาดหวัง
‘ข้ารับปากเจ้า ข้าจะช่วยเขาจนสุดความสามารถ! ไม่มีทางเกิดเรื่องกับเขาแน่!’ ซุนเฉิงจงกุมมือนาง
ซุนจิ่วเม่ยรู้ว่าท่านปู่มีหนทางเสมอ ทั้งยังรู้ว่าเรื่องที่เขารับปากมีน้อยยิ่งนักที่ทำไม่ได้ แต่เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็ก ถึงจะมีคำมั่นของท่านปู่แล้วก็ไม่อาจลดทอนความร้อนใจของนางได้แม้แต่นิดเดียว นางจับมือซุนเฉิงจงพลางวิงวอนรบเร้า ‘ท่านปู่ อย่างน้อยให้ข้าเข้าไปรอข้างในเถอะ นี่เป็นคำขอสุดท้ายในชีวิตของหลาน ขอท่านโปรดยินยอม!’
ซุนเฉิงจงลูบศีรษะหลานสาว รับคำอย่างจนใจ ‘เจ้ารอได้แค่นอกโถงศาล ห้ามบุกเข้าไปโดยพลการเด็ดขาด!’
ซุนจิ่วเม่ยได้แต่ยืนจิตใจว้าวุ่นอยู่นอกโถงศาล เบิกตามองคนที่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านในตามลำดับ แต่ละชั่วยามแต่ละเค่อประดุจพันปีหมื่นปี ซุนจิ่วเม่ยรู้สึกเพียงชีวิตตนเองในชาตินี้ยังไม่ยาวนานเท่าการรอคอยในยามนี้เลย
เสียงทุบค้อนเบิกศาลดังขึ้น พร้อมด้วยเสียงร้องประสาน ‘เวยอู่’ ของเจ้าหน้าที่ศาล ซุนจิ่วเม่ยใจเต้นตึกตักโครมคราม เจ็บใจที่ตนเองไม่อาจแปลงร่างเป็นแมลงบินเข้าไปด้านในได้
บนท้องฟ้าห่านป่าตัวใหญ่หลงฝูงตัวหนึ่งบินมา มุ่งตรงไปทางทิศใต้ ไม่นานนักก็เหลือเพียงจุดสีดำเร้นหายไปในท้องนภาซึ่งมืดลงช้าๆ ใบไม้สีเหลืองบนกิ่งร่วงโรยตามสายลมสารทอันวังเวง เฉียดผ่านปลายผมบนหน้าผากซุนจิ่วเม่ย จนสุดท้ายก็เกลือกกลิ้งปะปนไปในผืนดิน
ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้ตัวเลยสักนิด เวลาหนึ่งวันนี้ได้ผ่านไปเร็วเกินไปจริงๆ ทั้งยังดูยาวนานเป็นพิเศษ เพียงพริบตาก็พลบค่ำแล้ว ตอนนี้ซุนจิ่วเม่ยถึงค่อยพบว่าแสงอาทิตย์อัสดงที่กำลังคล้อยต่ำทางตะวันตกได้ปกคลุมทั่วเมืองหลวงจนเป็นสีแดงกุหลาบทั้งหมด นางไม่เคยเห็นสีแดงกุหลาบที่ดูน่าสลดรันทดเช่นนี้เลย
ถึงยามนี้คนที่สมควรมาก็มากันหมดแล้วกระมัง พยานที่ควรให้การก็คงให้การเสร็จแล้วกระมัง ซุนจิ่วเม่ยเห็นว่าแค่มีซุนเฉิงจงอยู่ ประกอบกับยามนี้พรรคตงหลินยึดครองเสียงมากกว่าครึ่งในศาล เป็นไปไม่ได้ที่จะสวมหมวกกบฏให้เฉียวจือซูซึ่งหน้า ซุนจิ่วเม่ยคิดว่าการพิจารณาคดีครั้งนี้ถือว่าเฉียวจือซูกุมชัยอยู่ในมือ
ช่วงที่แสงสว่างของวันใกล้ลาลับไปจนหมด ในที่สุดซุนจิ่วเม่ยก็คลี่ยิ้มที่ไม่พบมานาน ทว่ารอยยิ้มเจิดจ้าดุจแสงตะวันนี้ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
ซุนจิ่วเม่ยคุ้นเคยกับคนผู้นี้เหลือเกิน คนผู้นี้ด้านในสวมชุดกระโปรงหรูฉวิน สีเขียวคราม ด้านนอกสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองขนห่าน เรือนผมสีดำใช้ปิ่นไม้ท้อสลักลายดอกไม้เกล้ามวยทรงหญิงออกเรือน ท่าทางประดุจดอกเหมยสีขาวกลางเหมันต์อันหนาวเหน็บ ดูบริสุทธิ์เยือกเย็นเฉกเช่นครั้งแรกที่ได้พบนาง…คนผู้นี้ก็คืออ้ายจื่อจิน