แม้ซุนจิ่วเม่ยเคยพบนางเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่ากลับจดจำท่าทางอันเย็นชาของนางได้ขึ้นใจ
อ้ายจื่อจินหยุดฝีเท้าจ้องมองซุนจิ่วเม่ยเช่นกัน
ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้ว่าอ้ายจื่อจินยังจดจำตนเองได้อยู่หรือไม่ ตนรู้สึกเพียงสายตานางที่มองมาคล้ายมีวาจาต้องการเอื้อนเอ่ย ทว่าอ้ายจื่อจินไม่ทันได้กล่าว เจ้าหน้าที่ด้านหลังนางก็ร้องเรียกอย่างไม่อดทนแล้ว ‘มองอะไรอยู่ รีบเข้าไปได้แล้ว อย่าให้ใต้เท้าทั้งหลายรอนาน!’
ซุนจิ่วเม่ยคิดไม่ตก นางยังไม่รู้ว่าอ้ายจื่อจินไปจากสกุลเฉียวแล้ว ตามความเข้าใจของนาง อ้ายจื่อจินสมควรโดนจับเข้าคุกโทษฐานที่เป็นหญิงในสกุล ยามนี้ไม่ใช่อยู่ในที่คุมขังก็ต้องอยู่ในศาล แต่บัดนี้ดูแล้วอีกฝ่ายกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ มิหนำซ้ำยังใช้ฐานะพยานขึ้นศาลได้
ความสงสัยบังเกิดย่อมต้องรู้ให้แน่ชัด ซุนจิ่วเม่ยทะนงตนว่าตนเองมีวิชาตัวเบาที่ไม่เลว จึงฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนไม่ใส่ใจทะยานร่างขึ้นไปบนหลังคา นางยกแผ่นกระเบื้องบนหลังคาที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ออกอย่างระมัดระวัง เปิดเป็นรูเล็กให้แอบมองเข้าไปได้สะดวก สภาพภายในศาลพลันปรากฏชัดเต็มตา ซุนจิ่วเม่ยรู้สึกว่าตนเองติดจะโง่งม นางควรกระโดดขึ้นมาบนหลังคาให้เร็วสักหน่อย ไยต้องรอคอยอย่างกระสับกระส่ายอยู่ด้านนอกด้วย
ใต้แผ่นป้ายที่เขียนว่า ‘ชิงเจิ้งเหลียนหมิง’ ผู้ที่นั่งตำแหน่งกึ่งกลางคือผู้พิพากษากัวหรูฉู่ ด้านซ้ายของเขาคือผู้ช่วยผู้พิพากษาเสิ่นซือ ส่วนด้านขวาคือผู้คุมการพิจารณาคดีซุนเฉิงจง
นี่มิใช่การพิจารณาคดีสามตุลาการ แต่กลับดึงดูดสายตามากมายจากคนในราชสำนัก หนึ่งด้วยคดีนี้เกี่ยวพันถึงการสวรรคตของอดีตฮ่องเต้ สองเพราะเฉียวเหยี่ยนมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับราชเลขาธิการฟางฉงเจ๋อ
ฟางฉงเจ๋อเป็นผู้นำพรรคเจ้อ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีพิเศษ เขาจึงปิดประตูไม่ออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยไปตั้งแต่ต้น ผู้มีสิทธิ์เข้าคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาคดีนี้ผลักภาระกันไปมา สุดท้ายจึงผลักภาระนี้ไปให้กับกัวหรูฉู่ กัวหรูฉู่เป็นคนของพรรคตงหลิน เขาฉวยโอกาสเสนอลูกเขยของตนเองเสิ่นซือเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา คิดไม่ถึงก่อนวันพิจารณาคดี ซุนเฉิงจงผู้มีบารมีมากพอตัวในราชสำนักกลับเสนอตัวขอรับหน้าที่ผู้คุมการพิจารณาคดีนี้ด้วย
ซุนเฉิงจงเองก็อยู่พรรคตงหลิน แต่ไรมาไม่ชอบสงครามระหว่างพรรค ทว่าครานี้เสนอตัวขอรับหน้าที่ผู้คุมการพิจารณาคดีด้วย ช่างชวนให้ผู้คนจับต้นชนปลายไม่ถูกโดยแท้ คดีจึงยิ่งสลับซับซ้อนขึ้น กลายเป็นการปะทะซึ่งหน้าระหว่างพรรคตงหลินและพรรคเจ้อไปโดยปริยาย ท้ายที่สุดถูกพรรคตงหลินครองพื้นที่เหนือกว่าในทุกด้าน ทว่าเหมือนทุกคนจะลืมเลือนไปว่าหลานสาวของซุนเฉิงจงมีความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปกับเฉียวจือซู ด้วยเหตุนี้จึงลืมเลือนไปด้วยว่าซุนเฉิงจงก็เคยเป็นอาจารย์ที่เฉียวเหยี่ยนเชิญมาสอนเฉียวจือซูสมัยเด็กด้วย
ซุนจิ่วเม่ยไหนเลยจะมองไปยังสามผู้มีอำนาจมากที่สุดในศาล ตั้งแต่ต้นนางก็เริ่มมองหาเฉียวจือซูแล้ว เฉียวจือซูกับบิดาเฉียวเหยี่ยนและน้องชายเฉียวจือเยวี่ยคุกเข่าอยู่บนพื้น หลายวันในคุกทำให้พ่อลูกทั้งสามแลดูผ่ายผอมจนเห็นกระดูก ซุนจิ่วเม่ยแทบจดจำคนทั้งสามที่มีรอยเลือดอยู่ทั่วตัวตรงหน้าไม่ได้ นางเจ็บใจที่ไม่อาจเหินกายลงไปปลดโซ่ตรวนเหล่านั้น เจ็บใจที่ไม่อาจรับการทรมานในคุกทั้งหลายแทนเฉียวจือซู นางรู้สึกว่าทั่วกายจากหัวจรดเท้าท่วมท้นไปด้วยความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง ราวกับต้องดึงหนามที่ทิ่มแทงอยู่นี้ออกทุกลมหายใจ
เวลานี้ผู้พิพากษากัวหรูฉู่กำลังไต่ถามคำถามทั่วไป อาทิ ‘เจ้าเป็นใคร’ ‘มีความเกี่ยวข้องอันใดกับสกุลเฉียว’ เป็นต้น แรกเริ่มอ้ายจื่อจินล้วนตอบอย่างตั้งใจ แต่เมื่อกัวหรูฉู่ถามว่า ‘มาเพราะเหตุใด’ นางกลับนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
ซุนจิ่วเม่ยอยากรู้ยิ่งนักว่าอ้ายจื่อจินผู้นี้มาเพราะเหตุใด ทว่าเวลาล่วงเลยไป อ้ายจื่อจินก็ยังไม่พูดสักคำ
ดวงอาทิตย์ยามสนธยาลาลับขอบฟ้าไปหมดแล้ว ในศาลจุดเทียน ส่องให้ใบหน้าผู้คนที่อยู่ภายในศาลดำมืดมิดเย็นเยือกดูน่าพรั่นพรึง
‘ตึง!’ เสียงทุบค้อนดังขึ้น กัวหรูฉู่รอจนความอดทนสิ้นสุดลงแล้ว ‘บังอาจนัก! อ้ายจื่อจิน ข้าถามเจ้าอยู่ ไยจึงไม่ตอบ!’
การทุบครั้งนี้กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ศาลสองฝั่งร้องพร้อมกันเสียงดัง ‘เวยอู่…’
ใครเลยจะคิด อ้ายจื่อจินจะยังเป็นเช่นท่อนไม้
กัวหรูฉู่โมโหจนมิอาจระงับได้อีก เขาตวาดขึ้น ‘ใครก็ได้ จับนางทรมาน!’
‘ใต้เท้ากัว พยานยังไม่เอ่ยปากก็จับทรมานแล้วหรือ นี่ไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ใช่หรือไม่’ ผู้ที่เอ่ยคือซุนเฉิงจง
พอได้ยินเสียงเขา ซุนจิ่วเม่ยพลันเบาใจไปชั่วขณะ