ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน รำพันรักหมอยา บทที่ห้า-บทที่หก
ต่อมาได้ยินกัวหรูฉู่ทุบค้อนอย่างแรงพลางตวาดว่า ‘เฉียวเหยี่ยน เฉียวจือซู เฉียวจือเยวี่ย บัดนี้พยานหลักฐานชัดแจ้งแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่!’
ซุนจิ่วเม่ยผงะอึ้ง นางพลาดสีหน้าของผู้คนในศาลไป เมื่อมองไปอีกทีก็เห็นเพียงอ้ายจื่อจินมองไปทางเสิ่นซืออีกครั้ง
ซุนจิ่วเม่ยรู้ความหลังระหว่างอ้ายจื่อจินกับเสิ่นซือ ย่อมรู้ว่าพวกเขาหาได้เป็นแค่คนรู้จักเก่าธรรมดา ในสายตานางการส่งสายตาหากันไปมาในศาลช่างสมกับคำว่า ‘เล่นหูเล่นตา’ สี่คำนี้จริงๆ นับเป็นการตบหน้าเฉียวจือซูฉาดใหญ่โดยแท้!
จนถึงตอนนี้ ซุนจิ่วเม่ยพอรับรู้คร่าวๆ แล้ว ‘บันทึกแพทย์สกุลเฉียว’ เป็นอ้ายจื่อจินส่งขึ้นไปแน่นอน อ้ายจื่อจินหลุดพ้นความผิดได้คงมีเหตุมาจากเสิ่นซือ เช่นนั้นอ้ายจื่อจินต้องเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับเสิ่นซือเป็นแน่ ถึงขั้นที่อาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดใช้การหลุดพ้นคดีเป็นข้อต่อรอง!
ถึงตอนนี้จิตใจของซุนจิ่วเม่ยพลันว้าวุ่นขึ้นมาอย่างมาก นางคิดจะเหินร่างลงไปในศาล แต่ก็กลัวว่าหากตนเองเผยตัวจะสร้างความลำบากให้เฉียวจือซูมากยิ่งขึ้น ทว่าหากอาศัยเพียง ‘บันทึกแพทย์สกุลเฉียว’ แล้วจะพิพากษาโทษของพ่อลูกสกุลเฉียว ดูจะน่าหัวเราะเยาะเกินไปหรือไม่! ชั่วขณะนั้นนางพลันลังเลไม่แน่ใจขึ้นมา
กัวหรูฉู่อ่านเสียงดังขึ้นมา ‘ลูกกลอนแดงภายในมีชาด ตะกั่วแดง มีฤทธิ์รุนแรง หากใช้กับผู้มีลมปราณหยางแข็งแกร่งจะเผาผลาญสารจำเป็น* และเลือด ฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย แม้เป็นยาต้องห้ามแต่ก็เป็นยาวิเศษ เฉียวเหยี่ยน เจ้ากับพวกกระจ่างแจ้งในตำรับยาลูกกลอนแดงประหนึ่งนิ้วบนฝ่ามือ ทั้งยังรู้สรรพคุณและโทษอย่างลึกซึ้ง ยังกล้ามอบให้หลี่เข่อจั๋ว ใช้ชื่อว่า ‘ยาอายุวัฒนะ’ ถวายแก่อดีตฮ่องเต้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของลมปราณหยาง! ตาข่ายแห่งสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว วันนี้ข้าตรวจพบว่าพวกเจ้าคิดไม่ซื่อเช่นนี้ จำต้องกราบทูลให้ฝ่าบาททรงตัดสินอย่างเด็ดขาดยุติธรรม ให้ความจริงเป็นที่ประจักษ์!’
ซุนจิ่วเม่ยได้ฟังก็หวั่นกลัว มองหาเฉียวจือซูตามสัญชาตญาณ เฉียวจือซูกำลังเงยหน้ามองไปทางอ้ายจื่อจิน ซุนจิ่วเม่ยย่อมมองไม่เห็นใบหน้าของเขา ทว่ายังคงจินตนาการได้ว่ายามนี้เขาต้องตื่นตระหนกหาใดเทียบอย่างแน่นอน
เฉียวจือซูที่อ่อนโยนสงบนิ่งมาเสมอก็มีเวลาที่ตกตะลึงถึงเพียงนี้ ตอนนี้ซุนจิ่วเม่ยพลันรู้สึกปวดใจยากสงบ
ซุนจิ่วเม่ยยังไม่ทันมองสภาพอ้ายจื่อจินในยามนี้ ก็ได้ยินกัวหรูฉู่ตะคอกสั่งคนให้พาตัวนางออกไป
เฉียวจือเยวี่ยเดือดดาล ตะโกนอย่างฉุนขาด ‘อ้ายจื่อจิน! ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า คิดไม่ถึงเจ้าจะให้การเท็จช่วยคนพวกนี้! พี่ข้าเคยเขียนคำพูดพวกนั้นเสียที่ไหนกัน ทั้งที่เขาเขียนว่า ‘ตำรับยาลูกกลอนแดงของเดิมสูญหาย ในนั้นมีชาด ตะกั่วแดง รักษาโรคห้าหักโหมเจ็ดทำร้าย** และอาการจากความเหนื่อยล้าอ่อนแอต่างๆ โดยห้ามใช้กับผู้มีลมปราณหยางแข็งแกร่งเด็ดขาด ใช้มากเผาผลาญสารจำเป็นและเลือด ทั้งบั่นทอนหยาง’ เขาต้องการตักเตือนผู้คนถึงได้กล่าวถึงลูกกลอนแดงในสมุด สมุดเล่มนี้หาใช่เล่มที่พี่ชายข้าเขียน ไม่ใช่เด็ดขาด! อ้ายจื่อจิน เจ้าให้การเท็จเช่นนี้ไม่ละอายใจต่อสกุลเราบ้างหรือ ตอนนั้นท่านแม่เจ้าเสีย หากไม่ได้พวกเรา แม่เจ้าจะได้ฝังหรือไม่’
ซุนจิ่วเม่ยเองก็อยากกระโดดลงไปชี้จมูกก่นด่าอ้ายจื่อจินเช่นเดียวกัน อยากดุด่านางว่าช่างใจไม้ไส้ระกำ ดุด่านางที่ไม่แยกแยะถูกผิด ดุด่านางที่ทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองโดยไม่สนบุญคุณหลายปีของสกุลเฉียว แต่เมื่อนางเห็นเงาร่างโดดเดี่ยวของเฉียวจือซูแล้ว นางกลับพูดไม่ออก เฉียวจือซูในตอนนี้คือคนที่สิ้นหวังที่สุด เจ็บปวดที่สุดในคนทั้งหมดมิใช่หรือ
เฉียวจือเยวี่ยก่นด่าจนสองตาแดงก่ำ กระทั่งอ้ายจื่อจินถูกพาออกไปนอกศาลแล้วก็ยังคงด่าทอไม่หยุด ‘หญิงไม่รู้ดีชั่วผู้นี้ เห็นบ้านข้ายามนี้ตกต่ำก็ฉวยโอกาสโยนหินซ้ำเติม! คุณธรรมของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ เสียทีที่พี่ข้าหวังดี ไม่อยากให้เจ้ามาพัวพันจึงได้หย่ากับเจ้า! คิดไม่ถึงว่าหญิงใจดำเช่นเจ้านี้เพื่อคนรักเก่าแล้ว ถึงกับกล้าหันหลังให้ศีลธรรม ปั้นน้ำเป็นตัว กล่าวหาว่าพี่ข้าเป็นคนเขียนสมุดเล่มนี้! เจ้า…’
เฉียวจือซูถึงกับหย่าอ้ายจื่อจินเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของนาง?!
ยามนี้ซุนจิ่วเม่ยไม่รู้จะใช้ความรู้สึกใดมาแสดงอารมณ์ของตนได้ อิจฉา? เกลียดชัง? ไม่ ไม่ใช่ทั้งสิ้น นางเพียงปวดใจ ปวดใจในความทุ่มเทของเฉียวจือซู ปวดใจต่อความโดดเดี่ยวของเฉียวจือซู แต่นางจะทำอะไรได้เล่า นางจะเป็นเหมือนปีก่อนที่อาละวาดในงานแต่งของเขา แล้วตอนนี้ยังอาละวาดในศาลพิพากษาอีกหรือ
ซุนจิ่วเม่ยได้ยินเพียงกัวหรูฉู่ตะคอกห้าม ‘หุบปาก! ในสมุดเล่มนี้เป็นลายมือของเฉียวจือซูชัดเจน จะไม่ใช่เขาเขียนได้อย่างไร!’
เฉียวจือเยวี่ยกลับยิ่งด่ายิ่งฮึกเหิม ไม่ระวังคำพูดทุกขณะ ‘หญิงผู้นั้นพูดจาเพ้อเจ้อ ท่านเป็นถึงผู้ตรวจการยังเชื่อ?! ท่านไม่รู้หรือว่าลูกเขยคนดีของท่านกับสตรีผู้นี้เคยเกือบแต่งงานกันแล้ว หากมิใช่เพราะลูกเขยขี่มังกรคนดีของท่านผิดสัญญา แม่ของนางจะเป็นโรคจ้งเฟิงได้อย่างไร พี่ข้ายิ่งไม่ต้องสงสารพวกนาง รับปากสู่ขอนางจนต้องมีจุดจบเช่นนี้! พวกเจ้าสกุลอ้ายสกุลเสิ่นสกุลกัวเป็นสวะทั้งนั้น’
คนทั้งหมดคิดไม่ถึงว่าเฉียวจือเยวี่ยจะลากบุญคุณความแค้นบทนี้ขึ้นมา พากันเงียบกริบไปชั่วขณะ
ได้ยินเพียงกัวหรูฉู่ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดที่สุด ‘ข้ายุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไร จะฟังความข้างเดียวจากสตรีแซ่อ้ายได้อย่างไรกัน! เมื่อครู่ราชครูซุนก็เห็นสมุดเล่มนี้ เขากับเฉียวจือซูมีความสัมพันธ์อันดีมาแต่เดิม เจ้าถามเขาดูสิ นี่ใช่ลายมือเฉียวจือซูหรือไม่’
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ ในศาลพลันเงียบสนิท ซุนจิ่วเม่ยมองไปทางซุนเฉิงจง
ซุนเฉิงจงยามนี้แลดูไร้กำลังโต้แย้ง ซุนจิ่วเม่ยฉุกคิดขึ้นได้โดยพลัน ที่กัวหรูฉู่กับเสิ่นซือไม่ปฏิเสธให้ซุนเฉิงจงมาคุมการไต่สวนนี้ เพราะท่านปู่ของนางเป็นส่วนสำคัญยิ่งในแผนร้ายครั้งนี้กระมัง และแผนซ้อนแผนนี้ก็ได้หมายเอาชีวิตของพ่อลูกสกุลเฉียว!