บทที่หก
ซุนจิ่วเม่ยนึกถึงการพิจารณาคดีเมื่อเจ็ดปีก่อน ราตรีอันเย็นเยียบในคืนนั้นประหนึ่งรอยแผลสลักในส่วนลึกของใจ แต่ไรมาไม่เคยลืมเลือนสักชั่วอึดใจ ทว่าสายลมวันนี้อ่อนโยน ท้องฟ้าวันนี้สว่างใส วันนี้คือรัชศกเทียนฉี่ปีที่เจ็ด ท้องนภาสีฟ้าอ่อนปกคลุมด้วยปุยเมฆดั่งก้อนฝ้าย ซุนจิ่วเม่ยนั่งข้างโต๊ะหินสองมือเท้าคางคิดจนเหม่อลอย ถึงกับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ
รองเท้าผ้าป่านธรรมดายิ่งคู่หนึ่ง เสื้อแขนสั้นผ้าหยาบธรรมดามากหนึ่งตัว ใบหน้ากว่าครึ่งของเขาซ่อนอยู่ในงอบใบโต เผยเพียงคางและริมฝีปากที่เม้มแน่น เขานั่งลงตรงข้ามซุนจิ่วเม่ย งอนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางมือขวาเบาๆ คล้ายจะจับชีพจรให้คน สุดท้ายแล้วนิ้วที่งอทั้งสามของเขาก็เพียงประเดี๋ยวเคาะประเดี๋ยวหยุดตามอำเภอใจบนโต๊ะหินเท่านั้น
ตึกๆๆ…เสียงนิ้วเล็กเรียวเคาะโต๊ะหินเรียกสติซุนจิ่วเม่ย สายตาของนางพุ่งไปยังนิ้วมือทั้งสามที่กำลังเคาะโต๊ะหิน มุมปากยกยิ้มร่าเริง ดวงตาทอประกายช้อนขึ้น “พี่ใหญ่เฉียว!”
“คิดอะไรอยู่ ใจลอยปานนี้” เขาหยักยิ้มเป็นเส้นโค้ง กลิ่นอายเคร่งขรึมมลายหายทันตา
“ยังไม่ใช่…” ซุนจิ่วเม่ยเกือบพลั้งปาก ยังดีที่หยุดไว้ได้ก่อน นางหัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “จะคิดอะไรได้ แค่รู้สึกว่าระยะนี้แดดจะออกสักทีไม่ง่ายเลย ดีจริงๆ! ฮ่าๆ ท่านพี่เฉียว ท่านมาช้าเหลือเกิน สมุดครึ่งเล่มนั้นเล่า”
“มอบให้ทูอิงไปแล้ว”
“เขาจะทำเช่นไรต่อ”
บุรุษผู้สวมงอบกำหมัดแน่น แม้เห็นใบหน้าเขาไม่ชัด ซุนจิ่วเม่ยก็ยังสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างเขา
“ฆ่าคนทรยศพวกนั้น” น้ำเสียงเขาไม่เจือไออุ่นเลยสักนิด
ซุนจิ่วเม่ยหาได้ตื่นตะลึง เพียงถามต่อ “มีเบาะแสสมุดรายชื่ออีกครึ่งเล่มหรือไม่”
“เมื่อครู่ข้าไปบ้านเหอปู้ผิงมา…” ชายหนุ่มคล้ายลังเลอยู่บ้าง เขาหยุดไปพักหนึ่งแล้วกล่าว “อาจนับว่ามีกระมัง”
“อีกครึ่งเล่มที่เหลือ…” ซุนจิ่วเม่ยร้องอย่างตื่นเต้น ทว่ากลับถูกเขาเอ่ยตัดบท
“เมื่อครู่เจ้าออกมาจากคุกหญิง สถานการณ์ด้านในเป็นเช่นไรบ้าง”
ซุนจิ่วเม่ยได้ยินเขาเอ่ยถึงอ้ายจื่อจินแล้ว นางพลันลืมเรื่องเหอปู้ผิงไป จึงเอ่ยตัดพ้ออย่างไม่พอใจ “ท่านอยากจะช่วยหญิงผู้นั้น?! เจ็ดปีก่อนข้าเห็นกับตาว่าหญิงผู้นั้นเล่นหูเล่นตากับเสิ่นซือในศาล เห็นได้ชัดว่านางสมรู้ร่วมคิดกับเสิ่นซือ”
“เรื่องเนิ่นนานถึงเพียงนั้นข้าลืมไปแล้ว” ชายหนุ่มหันหน้าไป แม้น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉย แต่แท้ที่จริงกลับเย็นเยียบ “สำหรับข้า หญิงคนนั้นก็เป็นแค่คนแปลกหน้า ข้าช่วยนางเพียงเพราะคำสั่งเสียของเหอปู้ผิง”
“เมื่อครู่ท่านมิใช่บอกว่าพบอะไรแล้วหรอกหรือ ยังจะช่วยนางอีกทำไม” ซุนจิ่วเม่ยงึมงำ ในน้ำเสียงแฝงความหึงหวงอย่างเต็มเปี่ยม
“การค้นพบนั้นไม่เอ่ยถึงก็ได้ ไม่เกี่ยวกับสมุดรายชื่อเท่าใดนัก” นิ้วมือเขายังคงเคาะโต๊ะหิน ซุนจิ่วเม่ยรู้ว่าเขากำลังใคร่ครวญ นางจึงไม่คิดรบกวนอีก เพียงรอคอยเขากล่าวคำเงียบๆ
“ก่อนตายคนที่เหอปู้ผิงพบคนสุดท้ายคืออ้ายจื่อจิน มีความเป็นไปได้มากว่านางจะได้สารจากเขา”
“แต่อ้ายจื่อจินยืนกรานว่าเหอปู้ผิงตายไปแล้วนี่!” ซุนจิ่วเม่ยทำปากยื่น “หากนางรู้อะไรจากเหอปู้ผิงจริง ไม่รู้ว่าจะนำไปบอกกัวติ้งหรือไม่ ท่านอย่าลืมสิ เจ็ดปีก่อนนางเคยทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนหักหลังสกุลเฉียวมาแล้ว ข้าไม่เชื่อว่านางจะทนรับทัณฑ์ทรมานหนักเพื่อคนแปลกหน้าแค่คนเดียว!” ซุนจิ่วเม่ยโพล่งในคราวเดียว ก่อนสำนึกว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา นางแอบเหลือบตาขึ้นมองชายหนุ่ม เห็นเขาเป็นปกติอยู่ เพียงแค่จังหวะนิ้วที่เคาะโต๊ะหินดูเปลี่ยนไป นางอดลอบเสียใจไม่ได้