ลมพัดกิ่งไม้ไหว ยามนี้ยังคงไม่ได้ยินเสียงเขา ซุนจิ่วเม่ยราวกับนั่งอยู่บนพรมตะปู กระวนกระวายไม่สงบ
“เจ้าจับตาดูนางต่อไป”
ครู่ใหญ่ถึงได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยปากอีกครั้ง ซุนจิ่วเม่ยรีบพยักหน้าโดยไม่รอช้า ถามอีกว่า “หากนางแบกรับไม่ไหว…”
นิ้วของชายหนุ่มที่กำลังเคาะโต๊ะพลันรวบเข้าหากัน ตอนที่รวบมือก็เผลอรับดอกอิ๋งชุนจวนโรยราที่ไม่รู้ลอยมาจากที่ใดได้ดอกหนึ่ง เขาขยี้กลีบดอกไม้อย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ปีกงอบขยับขึ้นเล็กน้อยตามศีรษะที่แหงนขึ้นของเขา ปุยเมฆสีขาวบนท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนไปนับหมื่นพันรูปแบบสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาดำสนิทของเขา ซึ่งส่วนลึกของดวงตาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปนับหมื่นพันเช่นเดียวกัน
“ฆ่านางเสีย!” แม้เสียงจะเค้นอยู่ในลำคอ ทว่าทุกถ้อยคำกลับเข้าหูซุนจิ่วเม่ยอย่างชัดเจน ยากที่จะใคร่ครวญความรู้สึกของเขา
ซุนจิ่วเม่ยใจสั่นสะท้านคราหนึ่งโดยไม่รู้ตัว บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร
“ดี!” แม้แต่เสียงของตนเองที่เปล่งออกมา ซุนจิ่วเม่ยยังรู้สึกเหมือนห่างไปนับสิบหมื่นแปดพันหลี่
เงียบสนิทอีกระลอก ครู่ใหญ่ชายหนุ่มถึงค่อยถามขึ้นว่า “เจ้ายังสืบพบอะไรอีก”
“ไม่พบอะไรสำคัญ ทว่าเมื่อคืนผู้ติดตามเล็กๆ ข้างกายกัวติ้งคนหนึ่งดื่มเหล้าเมามายเผลอหลุดเบาะแสเล็กน้อย ครั้งนี้ที่อ้ายจื่อจินติดคุก ดูเหมือนเจ้าเมืองจะเป็นผู้แจ้งเบาะแส”
“เจ้าเมือง? ถังเหอ?”
ซุนจิ่วเม่ยพยักหน้า เห็นเขามีท่าทีใคร่ครวญจึงอดถามไม่ได้ “พี่ใหญ่มีแผนแล้วหรือ”
“เจ้ายังจำฮูหยินสี่สกุลถังที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่าบังเอิญเจอที่เขาไป๋อวิ๋นได้หรือไม่”
ซุนจิ่วเม่ยพยักหน้า “หากไม่ได้ฮูหยินท่านนั้นเห็นเชือกที่เหอปู้ผิงแขวนไว้บนต้นไม้ว่าเป็นงู ท่านก็คงหาสมุดไม่พบ”
“ไม่ผิด ข้าแก้ปมบนเชือกทั้งหมดออกแล้ว ถึงได้พบที่ฝังสมุดรายชื่อครึ่งเล่มนั้น”
“ท่านคิดใช้ฮูหยินสี่สกุลถังแฝงตัวเข้าจวนสกุลถัง?” ซุนจิ่วเม่ยดูจะเป็นกังวล “แต่ฐานะของท่านตอนนี้…”
“ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ” ชายหนุ่มคล้ายตัดสินใจไว้แล้ว “ยิ่งกว่านั้นในใจพวกเขา เฉียวจือซูตายไประหว่างทางที่โดนเนรเทศไปชายแดนเมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว” เขาถอดงอบลงอย่างเชื่องช้า ปรากฏดวงตาดำดุจดาราพร่างพราวคู่หนึ่ง พร้อมกับเผยผมสีขาวเทาเป็นประกายทั่วทั้งศีรษะ “เฉียวจือซูสภาพนี้ ยังจะมีผู้ใดจดจำได้อีกเล่า”
รุ่งสางเฉียวจือซูเคาะประตูจวนเจ้าเมืองถังเหอ เขานำปิ่นเงินยื่นให้เหล่าถังพ่อบ้านจวนสกุลถังผู้มีความสงสัยอยู่เต็มท้อง พระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เงาของเฉียวจือซูทอดยาวไปถึงหน้าประตูใหญ่สีแดงชาด เขายืนอย่างเงียบเชียบ ผมสีขาวเทาเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ขณะที่สีคิ้วของเขากลับดำสนิทดั่งน้ำหมึก ใต้คิ้วเข้มเป็นนัยน์ตารียาวคู่หนึ่งซ่อนอยู่หลังแพขนตาหนา เก็บงำประกายที่วาบผ่านเป็นบางครั้งบางคราว
ไม่นานนักเหล่าถังก็เดินออกมาอีก ด้านหลังยังมีสาวใช้อายุราวสิบห้าตามมาด้วย นางก็คือสี่เอ๋อร์ สาวใช้ที่เฉียวจือซูพบที่เขาไป๋อวิ๋นในตอนนั้น แรกเห็นเฉียวจือซู สี่เอ๋อร์ก็ออกจะฉงนสนเท่ห์อยู่บ้าง เฉียวจือซูคิดได้ว่ายามนั้นตนเองสวมงอบอยู่ เขาจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ย “แม่นางสี่เอ๋อร์ไม่เห็นงอบของผู้น้อยก็จำผู้น้อยมิได้แล้วหรือ”