ทันทีที่สี่เอ๋อร์ได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าก็ราวกับบุปผาแย้มบาน นางร้องอย่างดีอกดีใจ “เป็นท่านผู้กล้าจริงๆ! เดิมทีฮูหยินสี่ก็คิดไปหาแม่นางอ้ายเพื่อถามข่าวคราวของท่านผู้กล้าอยู่พอดี สองสามวันนี้ฮูหยินสี่ยังพูดพร่ำอยู่เลยว่าอยากจะขอบคุณท่าน!”
“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้กล้าเนืองๆ ก็ได้” เฉียวจือซูเอ่ยยิ้มๆ “ข้าแซ่ซู เป็นหมอ”
“อ้อ เช่นนั้นก็คือท่านหมอซู” สี่เอ๋อร์ยิ้มตาหยี “เชิญท่านหมอซูที่ด้านใน ฮูหยินสี่รอจนร้อนใจแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉียวจือซูถูกพาไปยังห้องโถงด้านข้าง ทว่ากลับไม่ได้มีแค่ฮูหยินสี่เจิ้งหนานชิงนั่งอยู่เท่านั้น ภายในนั้นยังมีสตรีรูปโฉมเฉิดฉันนั่งตัวตรงอยู่อีกคน พอเห็นเฉียวจือซูเข้ามา นางก็เงยหน้ามองเขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา เอ่ยเปรยว่า “ข้ายังนึกว่าเป็นหมอเทวดาที่ไหน ที่แท้ก็แค่ตัวประหลาดครึ่งแก่ครึ่งหนุ่ม เสียทีที่น้องหญิงสี่พร่ำเอ่ยถึงทุกวัน”
เจิ้งหนานชิงที่เดิมจะลุกขึ้นต้อนรับเฉียวจือซู พอได้ยินหญิงผู้นั้นกล่าววาจานี้แล้ว นางก็โมโหจนใบหน้าแดงก่ำ พูดเสียงแข็งกลับไป “พี่หญิงสามนั่งที่นี่ได้ครู่หนึ่งแล้ว ตอนนี้น้องต้องรับรองผู้มีพระคุณก่อน หากทอดทิ้งพี่หญิงไปก็อย่าได้ตำหนิน้องเลย หวังว่าอีกประเดี๋ยวพี่หญิงกลับไปอย่าได้ว่างงานแต่งเรื่องใส่น้ำมันเติมน้ำส้ม จนวุ่นวายไปทั่วก็แล้วกัน!”
“เจ้า! นี่เจ้าพูดจาอันใด!” ฮูหยินสามสกุลถังเฮ่อหลันซีโกรธจนคิ้วเรียวงามดั่งใบหลิวขมวดเป็นปม
เจิ้งหนานชิงไม่ไยดีหน้าตาเขียวคล้ำของนางแม้แต่น้อย เพียงออกคำสั่งไล่แขก “สี่เอ๋อร์ ยามนี้พี่หญิงสามเหนื่อยแล้ว ยังไม่รีบประคองนางกลับไปอีก”
สี่เอ๋อร์อดรนทนไม่ไหวนานแล้ว ขณะที่รับคำสั่งก็แอบหลิ่วตาให้ฮูหยินสี่อย่างลิงโลด ก่อนจะเดินไปตรงหน้าเฮ่อหลันซีแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ฮูหยินสาม ให้สี่เอ๋อร์ประคองท่านกลับไปเถิด ท่านอายุมากนั่งนานแล้วจะปวดเอว ถือเป็นความผิดของพวกบ่าวเชียวนะเจ้าคะ”
“เจ้า! เจิ้งหนานชิง เจ้านี่มัน…กระทั่งสาวใช้เจ้าก็ยังกล้าหยามเกียรติข้า อย่าได้อาศัยว่าตนเองเป็นคุณหนูจวนสกุลเจิ้งแล้วจะแสร้งทำสูงส่งต่อหน้าข้าได้เล่า พี่ชายไม่ได้เรื่องของเจ้ามิใช่ทำบ้านสกุลเจิ้งล้มละลายจนต้องพึ่งเจ้าชดใช้หนี้หรือไร บ้านผู้ดีมีสกุลอันใดกัน ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังเป็นเหมือนกับข้า ต้องมาเป็นอนุที่นี่ คอยดูเถอะ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!” ขณะที่เฮ่อหลันซีลุกขึ้นก็ด่าทอไปด้วย ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเสียงดังพึ่บแล้วหมุนตัวจากไป
“โอ๊ะ ฮูหยินสาม ขาของท่านยังดูคล่องแคล่วดี สี่เอ๋อร์ขอไม่ส่งแล้วนะเจ้าคะ!” สี่เอ๋อร์เดินถึงหน้าประตูแล้วจงใจตะโกนเสียงดังคล้ายอยากจะให้คนทั้งจวนได้ยินกันหมด
“ขออภัยผู้มีพระคุณด้วย” ตอนที่เจิ้งหนานชิงได้ยินเฮ่อหลันซีกล่าวถึงสกุลเจิ้ง สีหน้าก็พลันหม่นลง ยามนี้นางทำทีเงยหน้าขึ้นอย่างสงบ คลี่ยิ้มให้เฉียวจือซูอย่างยากลำบาก
เฉียวจือซูย่อมมองท่าทีเปลี่ยนไปนี้ของนางออก เขาคารวะอีกฝ่ายอย่างสุภาพโดยไม่แสดงสีหน้า “หากไม่สะดวก ผู้แซ่ซูขอตัวก่อน!” กล่าวจบก็จะหมุนตัวออกไป
“ช้าก่อนผู้มีพระคุณ!” เจิ้งหนานชิงไม่ได้สนใจว่าชายหญิงไม่ควรชิดใกล้ นางลนลานเข้าไปรั้งเขา หลังตระหนักถึงการกระทำของตนแล้วก็ถอยหลัง พลางกล่าวเสียงดัง “ข้าเปิดเผยโปร่งใส ไม่กลัวคนนินทา”
เฉียวจือซูฟังความนัยในวาจาของนางออก เขาหันหน้าปราดมองไปก็เห็นพ่อบ้านเหล่าถังแอบมองอยู่ด้านนอกด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ ในใจประหนึ่งกระจกใส
เจิ้งหนานชิงเชิญเฉียวจือซูนั่ง สองคนสนทนาสัพเพเหระไม่กี่ประโยค ยามนี้เฉียวจือซูพอจะรู้แล้วว่าเดิมทีเจิ้งหนานชิงเป็นคุณหนูตระกูลเจิ้งอันเลื่องชื่อ ทว่าจนใจที่กิจการของตระกูลตกต่ำเนื่องจากพี่ชายคนโตติดหนี้พนันจึงยกนางให้ถังเหอเพื่อแลกกับการใช้หนี้ นับเป็นคนมีภูมิหลังที่น่าสงสาร
เจิ้งหนานชิงคิดเพียงว่าเฉียวจือซูเป็นหมอพเนจรมาถึงที่นี่ และช่วยเหลือนางไว้โดยบังเอิญ
เจิ้งหนานชิงถามขึ้น “แต่ไรมายามที่หนานชิงมีระดูจะต้องปวดท้อง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ผู้มีพระคุณรมยาให้ข้าครั้งหนึ่ง อาการปวดท้องนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง”