วันที่สามเป็นวันที่ฟ้ากลับมาครึ้มอีกครั้ง ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำฝนที่ทำท่าเหมือนจะตก ไร้ลมพัด กิ่งไม้บนสันกำแพงเลื้อยยาวจรดชายคาห้องยาอย่างเงียบเชียบ มุมหนึ่งนอกห้องยาประดุจภาพวาดหมึกที่เพิ่งลงสีใหม่
ร่างอาเม่ยในชุดหรูฉวินลายดอกไม้เล็กจิ๋วพื้นสีขาวเดินเข้ามาจากโค้งทางเดินตามปกติด้วยฝีเท้าเนิบช้า นางเดินมาถึงหน้าประตู มือกุมสลักประตูเอาไว้ ทว่ากลับหยุดเท้า ท่าทางนางเปลี่ยนเป็นประหม่ากะทันหัน กวาดตามองรอบทิศอย่างตื่นตัว ด้านนอกห้องยาเงียบสงัด กระทั่งเสียงนกขับขานยังเหมือนสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางพรูลมหายใจเบาๆ แล้วผลักประตูออกอย่างเนิบช้า
เอี๊ยด…เสียงสลักประตูขยับเป็นท่วงทำนองไม่รื่นหูอย่างยิ่ง ราวกับบุกเข้าไปอย่างกะทันหันในพื้นที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง อาเม่ยพลอยใจเต้นตึกๆ จากนั้นนางก็ก้าวเข้าไปในห้อง มองด้านนอกอย่างระวังตัวอีกรอบก่อนปิดประตูอย่างระมัดระวัง
ในห้องยามีตู้สีดำเป็นมันอยู่ห้าตู้ เป็นที่เก็บยาในจวนสกุลถังสำหรับถังเหอ มารดาของถังเหอ รวมทั้งฮูหยินทั้งหลาย จากซ้ายไปขวาแบ่งเป็นตู้ยาของถังเหอ ฮูหยินผู้เฒ่าถัง ฮูหยินสาม และฮูหยินสี่ อาเม่ยหยุดชะงักเล็กน้อย ฉับพลันหันไปทางตู้ยาทางด้านขวาสุด จากนั้นนางค่อยๆ เปิดลิ้นชักยาอย่างระมัดระวัง ก่อนหยิบห่อเล็กห่อหนึ่งออกมาจากอก
ปัง! ประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรงกะทันหัน “อาเม่ย เจ้ากำลังทำอะไร!” เสียงตวาดกร้าวเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ถังเหอจะเดินเข้ามา
ชั่วพริบตาที่อาเม่ยหมุนตัวไปอย่างตกตะลึง มือก็สั่นจนห่อเล็กในมือร่วงลงพื้น เมล็ดสีแดงน้ำตาลและสีน้ำตาลเข้มขนาดเท่าเมล็ดถั่วเม็ดแล้วเม็ดเล่าพลันกลิ้งออกมา
“ใต้เท้า!” อาเม่ยขาอ่อน คุกเข่าเสียงดังโครมกับพื้น
“นี่คืออะไร!” ถังเหอพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“เมล็ดเจวี๋ย…เมล็ดเจวี๋ยหมิงเจ้าค่ะ” อาเม่ยพูดเสียงสั่น
“เมล็ดเจวี๋ยหมิง?” แววตาคมกริบดุจกระบี่ของถังเหอปราดมองนาง นางเสียขวัญจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา
“เจ้าดูว่าคืออะไร” ถังเหอใช้สายตาแสดงท่าทีให้เฉียวจือซูที่อยู่ด้านหลัง
เฉียวจือซูเก็บเมล็ดขึ้นมาดม แล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้แม้คล้ายเมล็ดเจวี๋ยหมิงก็จริง ทว่าไม่ใช่เมล็ดเจวี๋ยหมิง แต่เป็นเมล็ดอวิ๋นไถขอรับ”
“เมล็ดอวิ๋นไถ?” อาเม่ยร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับบทสรุปนี้ทำให้นางเสียขวัญยิ่งแล้ว
ถังเหอได้ยิน ‘เมล็ดอวิ๋นไถ’ สี่พยางค์ก็บังเกิดโทสะทันที “อาเม่ย เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำร้ายฮูหยินสี่ กล้าปองร้ายให้ข้าไร้ผู้สืบสกุล! ใครก็ได้ มาลากตัวนางออกไป!”
“ใต้เท้าถังอย่าเพิ่งใจร้อนไปขอรับ!” เฉียวจือซูมองออกว่าอาเม่ยหาได้รู้เรื่องราวทั้งหมด เขารีบเข้าไประงับหยุดยั้ง
ถังเหอไหนเลยจะฟังเข้าหู เขาหันไปสั่งคนรับใช้ “ยังไม่รีบลากนางไปตีให้ข้าอีก!”
อาเม่ยประหนึ่งเพิ่งตื่นจากฝัน นางร้องขึ้นเสียงดัง “ไม่ ไม่ใช่นะเจ้าคะ! นี่คือเมล็ดเจวี๋ยหมิง หาใช่เมล็ดอวิ๋นไถ! ฮูหยินสา…”
“ผู้ใดกล้าตีอาเม่ย” แม้น้ำเสียงแหบพร่า แต่ได้ยินแล้วกลับน่าเกรงขามยิ่ง พาให้คนรับใช้ทั้งหมดหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว