“หญิงผู้นี้อำมหิตยิ่งนัก! แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าถังกลับไม่ทำอะไรนางเลย เฮ้อ เหตุใดท่านถึงไม่ให้ฉินมามาบอกเรื่องมีเมล็ดอวิ๋นไถปนในกากยาเจิ้งหนานชิงกับฮูหยินผู้เฒ่าถังเสียเลยเล่า เช่นนั้นมิใช่ง่ายดายขึ้นมากหรือ”
“เจ้าคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าถังอาศัยเพียงคำพูดฉินมามาแล้วจะจัดการเฮ่อหลันซี?”
“อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเจิ้งหนานชิงถูกคนวางยาจริงๆ”
“เฮ่อหลันซีสามารถพูดได้เต็มปากว่านั่นไม่ทันระวังจึงปนเมล็ดอวิ๋นไถเข้าไป อย่าลืมว่าหลายปีมานี้ คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าถังไว้ใจที่สุดก็คืออาเม่ยกับเฮ่อหลันซี อาศัยแค่กากยาถ้วยเดียว ชี้แจงอะไรไม่ได้หรอก”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร ทำมาตั้งมากกลับได้เพียงเท่านี้น่ะหรือ” ซุนจิ่วเม่ยเป็นเดือดเป็นแค้น “เฮ่อหลันซีผู้นั้นชั่วช้าเกินไปจริงๆ ต้องทนดูนางลอยหน้าเสวยสุขต่อไปหรือ”
เฉียวจือซูหัวเราะหยัน “แม้กล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าถังจะยังดูเชื่ออาเม่ยกับเฮ่อหลันซีอยู่ แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ถูกหว่านลงไปแล้ว หากนางรู้ว่าคนที่ทำให้อาการป่วยของฮูหยินใหญ่ไม่ดีขึ้นคือเฮ่อหลันซี เจ้าว่านางจะเป็นอย่างไร”
“เลี่ยวชิงเหยียนก็ถูกนางทำร้าย?”
“ข้าจับชีพจรฮูหยินใหญ่ รู้สึกเพียงลอยเร็วและลื่น เห็นชัดว่ามีเสมหะร้อน สี่เอ๋อร์กลับบอกข้าว่าหมอใช้ตำรับยากานม่ายต้าเจ่าทัง* ที่ปกติใช้รักษาสตรีจิตใจแปรปรวนเสมอมา ตำรับยากานม่ายต้าเจ่าทังแม้เป็นยาดี แต่หากใช้กับร่างกายฮูหยินใหญ่ ชะเอม ม่ายตงเสริมอิน ยิ่งจะทำให้เกิดเสมหะชื้น ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าถังยังให้คนบำรุงโสมกับฮูหยินใหญ่เป็นประจำ ยิ่งทำให้ลมปราณติดขัด”
“นี่คือการใช้ยาส่งเดชโดยไม่วินิจฉัยอาการที่ท่านพูดถึงบ่อยๆ หรือ”
“นี่เกิดจากมีผู้จงใจกระทำ เป็นผลทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง”
“ใช้ยาวางยา หากมิใช่ผู้รู้วิชาแพทย์ไม่มีทางทำได้เด็ดขาด ต้องเป็นตู้จื่อเฟยแน่ ผู้เรียนวิชาแพทย์ไม่มีเมตตาธรรมนำหน้า ตรงกันข้ามกลับมีใจคิดร้ายต่อผู้อื่น ไม่คู่ควรที่จะเป็นหมอ แต่ถึงฮูหยินผู้เฒ่าถังรู้ความจริงแล้วจะทำอะไรได้”
“อย่างน้อยคำพูดของเฮ่อหลันซีก็จะไม่เกิดผลอะไรกับถังเหออีก ที่นางบอกความลับแทนตู้จื่อเฟยก็จะไม่มีน้ำหนักเท่าใด” เฉียวจือซูยิ้มน้อยๆ “ที่จริงตอนนี้ถังเหอไม่เชื่อใจเฮ่อหลันซีแล้ว แต่ติดที่เห็นแก่หน้าฮูหยินผู้เฒ่า”
“ท่านยังวางแผนช่วยสตรีผู้นั้น” ซุนจิ่วเม่ยเบ้ปาก “วันนี้ข้ามาหาใช่เพียงต้องการรู้บทสรุปของเรื่องนี้ ข้ามาเพื่อบอกข่าวท่านสองเรื่อง ท่านต้องการฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”
“แต่ไรมาเจ้าก็มักพูดข่าวร้ายก่อน”
“อ้ายจื่อจินสลบไปหนึ่งวันแล้ว”
นิ้วมือของเฉียวจือซูที่กำลังเคาะโต๊ะพลันหยุดชะงัก แม้จะฟื้นกลับมามีท่าทีเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว ทว่าซุนจิ่วเม่ยก็ยังมองเห็นชั่วพริบตาที่เขาเกิดอารมณ์ปรวนแปรขึ้นในใจ ซุนจิ่วเม่ยทนไม่ได้เอ่ยตัดพ้อขึ้น “หลายปีเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงวางนางลงไม่ได้เล่า!”
“ไม่ ข้าวางแล้ว ข้าวางลงนานแล้ว” เฉียวจือซูก้มหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำคล้ายลอยล่องมาจากห้วงเวลาอันไกลโพ้น “แต่ข้าลืมไม่ได้ว่าจือมั่นถูกคนหยามเกียรติอย่างไร และลืมไม่ได้ว่าท่านพ่อกับเฉียวจือเยวี่ยตายอย่างไร แม้แต่ข้าเองก็เกือบต้องตายไปอย่างด่างพร้อยแล้ว”
“ดังนั้นข้าจึงเกลียดนาง! ข้าไม่มีวันลืมว่าข้าตามท่านกลับมาได้จากที่ใด! หากไม่ใช่นาง บ้านสกุลเฉียวก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ ท่านไม่มีวันเป็นเช่นนี้!”
น้ำเสียงสะเทือนอารมณ์ของซุนจิ่วเม่ยวนเวียนอยู่ข้างหูเฉียวจือซูไม่หยุด เขาทำได้เพียงยืนเช่นนั้นเงียบๆ รอเสียงนางค่อยๆ เบาลงไป จนสุดท้ายกลืนหายไปในฝุ่นธุลี จากนั้นเขาหลุบดวงตาทั้งสอง ปกปิดความเสียใจและสิ้นหวังในแววตา พลางเอ่ยเย็นชา “แต่นางจำต้องมีชีวิตรอด เพื่อเหอปู้ผิงที่จากไปแล้ว และเพื่อคำฝากฝังของอาจารย์ซุน พวกเราจำต้องหาสมุดเล่มนั้นให้เจอ!” ประโยคสุดท้ายคล้ายเขาสาบานกับตนเอง ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาชัดเจนยิ่งนัก และในค่ำคืนอันมืดมิดที่มีเสียงฝนพรำตกกระทบใบไม้อ่อนดังเปาะแปะก็ยิ่งดูแน่วแน่เป็นพิเศษ
ซุนจิ่วเม่ยถูกท่าทางแน่วแน่สงบนิ่งเช่นนี้ของเขาดึงดูด ครู่ใหญ่จึงไม่กล่าววาจาสักคำ
เฉียวจือซูถามอีก “ข่าวดีที่เจ้าบอกเมื่อครู่คืออะไร”
“กัวติ้งไปแล้ว” ซุนจิ่วเม่ยหลุดจากภวังค์ “ข้าได้ยินว่าเขาไปพบผู้ตรวจการที่เมืองหลินอัน”
“นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะพาอ้ายจื่อจินออกจากคุก!” ช่องหน้าต่างมีลมหอบไอหนาวของฝนฤดูใบไม้ผลิเข้ามา
เปลวเทียนอ่อนโรยในตะเกียงน้ำมันไหววูบฉับพลัน นิ้วมือเฉียวจือซูที่เคาะโต๊ะเบาๆ พลันหยุดลง ประกายเด็ดขาดเหี้ยมเกรียมกระแสหนึ่งสาดออกมาจากดวงตาเขา “จิ่วเม่ย เจ้าไปสืบมาว่าผู้ตรวจการคนนั้นเป็นใครกันแน่ มาที่นี่มีเป้าหมายอะไร”
(ติดตามต่อในเล่ม)