ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 1-2
กระนั้นไปถึงแล้วจึงทราบว่าช่วงหลายปีที่หวังชงไม่อยู่จวน เสิ่นหลันผู้เป็นภรรยาคลอดบุตรแล้วร่างกายอ่อนแอจนจากโลกนี้ไป หลี่ซื่อผู้เป็นมารดาอายุปูนนี้แล้วยังต้องทำนาปลูกข้าวหาเลี้ยงหลานสาว เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิหกล้มและป่วยตาย ครอบครัวทั้งหมดจึงเหลือเพียงบุตรสาวที่ยังเล็กวัยเจ็ดขวบ…หวังเหยียนชิงคนเดียวเท่านั้น
ชายแดนมีเด็กกำพร้าอย่างหวังเหยียนชิงมากมาย แต่เรื่องราวเกิดขึ้นภายใต้เปลือกตาของฟู่เยวี่ย เขาย่อมมิอาจไม่ไยดี หลังจากผู้ใต้บังคับบัญชากลับนครหลวงมารายงานฟู่เยวี่ย ฟู่เยวี่ยตรึกตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจรับเลี้ยงหวังเหยียนชิง
ด้วยอำนาจบารมีของจวนเจิ้นหย่วนโหว การเลี้ยงดูแม่นางน้อยคนหนึ่งมิใช่ปัญหา แต่หากเขาไม่สนใจเด็กคนนี้จะต้องตายอยู่ข้างนอกแน่
ตอนที่หวังเหยียนชิงอายุเจ็ดขวบ โชคชะตาของนางพลิกผันครั้งใหญ่ ปีนั้นนางสูญเสียคนในครอบครัวคนสุดท้ายไป ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนบ้าน นางจึงสามารถจัดงานศพให้ผู้เป็นย่าจนเสร็จสิ้น หลังจากนั้นที่ดินบรรพบุรุษของพวกเขาก็ถูกญาติห่างๆ ยึดไปจนหมด แต่เรื่องการรับเลี้ยงหวังเหยียนชิงกลับเป็นเหมือนลูกหนังที่ถูกเตะไปเตะมา ไม่มีใครเต็มใจอยากเลี้ยงคนเพิ่มขึ้นอีกคน
หลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งมาหานาง ผ่านไปพักหนึ่งคนกลุ่มนั้นกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังนำแพรพรรณและผู้คนมามากกว่าเก่า พวกเขาจุดธูปเซ่นไหว้หวังชง ยังบอกว่าจะรับตัวหวังเหยียนชิงไปนครหลวง
ท่าทีของพวกญาติๆ เปลี่ยนไปทันใด บ้านใกล้เรือนเคียงต่างรู้กันทั่วว่าสุสานบรรพบุรุษสกุลหวังมีควันสีฟ้าหวังชงได้รับความนิยมชมชอบจากผู้สูงศักดิ์ หวังเหยียนชิงกำลังจะเดินทางเข้านครหลวงไปเสพสุขแล้ว คนในหมู่บ้านไม่รู้ว่า ‘เจิ้นหย่วนโหว’ คืออะไร รู้เพียงว่าเป็นขุนนางตำแหน่งสูงมาก ควบคุมดูแลกองกำลังทั้งหมดในเมืองต้าถง ลุงป้าน้าอาที่เคยแล้งน้ำใจเหล่านั้นพากันเปลี่ยนสีหน้าและแย่งชิงตัวหวังเหยียนชิงกัน ยังคิดจะหลอกให้หวังเหยียนชิงเปลี่ยนคำเรียกขาน หมายจะส่งบุตรสาวของตนไปนครหลวงแทน
หวังเหยียนชิงแม้อายุเพียงเจ็ดขวบ แต่ประสบการณ์ชีวิตได้สอนให้นางล่วงรู้จิตใจคน รู้จักฟังน้ำเสียงดูสีหน้านานแล้ว นางไม่ทิ้งเงินไว้ให้พวกญาติๆ แม้แต่เหรียญเดียว ติดตามกองกำลังของฟู่เยวี่ยไปเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงนครหลวงเป่ยจิงที่นางไม่รู้จัก
เวลานั้นนางยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเข้าสู่โลกที่เป็นอย่างไร นางรู้ว่าในใต้หล้านี้มีทั้งคนจนและคนรวย มีทั้งขุนนางและชาวนา แต่คิดไม่ถึงว่าความแตกต่างทางชนชั้นจะมากมายถึงเพียงนี้
หลังเข้าประตูเซวียนอู่* แล้ว ข้าวของริมทางแต่ละอย่างล้วนเป็นความหรูหราที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง นางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามรถม้าไปอย่างมึนงง สุดท้ายรถม้าก็แล่นเข้าไปในคฤหาสน์ที่โอ่โถงใหญ่โตแห่งหนึ่ง
ตอนหวังเหยียนชิงลงจากรถ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอานางตกใจจนไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว ไม่กล้าย่างเท้าสักก้าวเดียว ประตูสูงใหญ่คฤหาสน์หลังโตดูทรงอำนาจในตนเอง บ่าวรับใช้ประสานมือเดินขวักไขว่ไปมา แค่หญิงรับใช้สูงวัยที่ทำหน้าที่กวาดพื้นคนหนึ่งยังแต่งตัวดีกว่าครอบครัวของผู้ใหญ่บ้าน นี่ก็คือสถานที่ที่นางจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้หรือ
ขณะที่หวังเหยียนชิงตะลึงงันทำอะไรไม่ถูกนั้นเอง เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพลันดังขึ้นข้างหลัง ‘นี่ใครกัน’
นางหันกลับไปก็มองเห็นเด็กหนุ่มท่าทางสูงศักดิ์สง่างามคนหนึ่ง เขาอายุราวสิบปี รูปร่างสูงโปร่งองอาจ บุคลิกผึ่งผาย คนข้างกายท่าทีพลันเปลี่ยนไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบ ‘คุณชายรอง นี่ก็คือเด็กกำพร้าที่ท่านโหวจะรับเลี้ยงคนนั้นขอรับ’
เด็กหนุ่มจ้องนางอยู่พักใหญ่ ดูคล้ายในที่สุดก็พอจะจำได้ จึงถาม ‘ชื่ออะไร’
‘เรียนคุณชายรอง นางชื่อหวัง…’
‘ไม่ได้ถามเจ้า’ เด็กหนุ่มปรายตามองบ่าวรับใช้เรียบๆ พยักพเยิดคางกับหวังเหยียนชิง ‘ให้นางพูด’
แม้จะยังมิได้แนะนำ แต่หวังเหยียนชิงเข้าใจสถานการณ์แล้ว นางก้มศีรษะตอบอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ‘เรียนคุณชายรอง ข้าชื่อหวังเหยียนชิง’
เด็กชายคล้ายไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบคนในวัยใกล้กัน เขาพานางไปพบเจิ้นหย่วนโหวด้วยตนเอง หลังจากนั้นหวังเหยียนชิงจึงได้รู้ว่าเด็กชายที่เป็นคนนำทางให้นางคือหลานชายของฟู่เยวี่ย…ฟู่ถิงโจว แม้ทุกคนต่างเรียกเขาว่า ‘คุณชายรอง’ แต่ทายาทชายรุ่นหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีเขาเพียงคนเดียว เขาจึงนับเป็นซื่อจื่อ* ที่ทุกคนยอมรับโดยปริยายแล้ว เหตุที่จวนเจิ้นหย่วนโหวครึกครื้นถึงเพียงนี้ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของฟู่ถิงโจวพอดี
ภายหลังฟู่ถิงโจวมักพูดเล่นอยู่เสมอว่าหวังเหยียนชิงเป็นของขวัญวันเกิดที่สวรรค์ประทานให้เขา ประจวบเหมาะกับตอนเขาอารมณ์ไม่ดีออกมาเดินเล่น เดินเลี้ยวก็พบกับหวังเหยียนชิงเข้าพอดี
ฟู่เยวี่ยเห็นหวังเหยียนชิงแล้วดีใจมาก หวังชงอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของฟู่เยวี่ย เป็นคนมีไหวพริบและน่าเอ็นดู ในใจเขาเห็นหวังชงเป็นเหมือนบุตรคนหนึ่งเสมอมา ไม่คิดว่าบุตรสาวของหวังชงกลับน่ารักเรียบร้อย ไม่ซุกซนเหมือนหวังชงเลยสักนิด
ฟู่เยวี่ยกรำศึกมาทั้งชีวิต นิสัยเฉียบขาดดุดัน เวลาฝึกทหารเสียงดังก้องจนได้ยินทั่วทั้งในและนอกค่าย ได้พบแม่นางน้อยที่อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนี้เป็นครั้งแรก หัวใจก็แทบจะละลาย ประจวบเหมาะอายุของหวังเหยียนชิงกับฟู่ถิงโจวต่างกันไม่มาก ฟู่เยวี่ยจึงให้เด็กทั้งสองอยู่ข้างกาย อบรมเลี้ยงดูด้วยตนเอง
กล่าวถึงตรงนี้อันที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฟู่เยวี่ยทำศึกอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน เวลาเกิดสงครามเขาไม่กลับจวนติดต่อกันนานหลายปี ฟู่ชางบุตรชายของฟู่เยวี่ยถูกภรรยาของเขาตามอกตามใจ ภายหลังย้ายมานครหลวงก็กลายเป็นบุตรชายท่านโหวอีก นิสัยเสียจึงถูกบ่มเพาะขึ้นมาอย่างช้าๆ
ตอนฟู่เยวี่ยถูกย้ายจากต้าถงกลับมานครหลวงแล้วเห็นบุตรชายเที่ยวหอคณิกา แข่งม้าชนไก่ เขาก็โมโหจนอาละวาดยกใหญ่ ทว่าตอนนั้นฟู่ชางใกล้จะสามสิบแล้วจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างไร ฟู่เยวี่ยตีก็แล้วด่าก็แล้ว ท้ายที่สุดก็แก้นิสัยบุตรชายไม่ได้จริงๆ จึงตัดสินใจว่ามองไม่เห็นเป็นดีที่สุด และตั้งหน้าตั้งตาอบรมหลานชาย
หลายปีมานี้เขาผ่านการทำศึกมาอย่างไม่ง่าย จะยกทรัพย์สมบัติมหาศาลให้กับลูกหลานที่ดีแต่ล้างผลาญไม่ได้เป็นอันขาด เคราะห์ดีที่ฟู่ถิงโจวยังเล็ก สั่งสอนตอนนี้ยังทันกาล
หวังเหยียนชิงมาอยู่สกุลฟู่ในเวลานี้เอง ฟู่เยวี่ยให้ฟู่ถิงโจวกับหวังเหยียนชิงเรียกขานกันแบบพี่น้อง สอนพวกเขาเล่าเรียนฝึกยุทธ์ด้วยตนเอง เวลาว่างพาฟู่ถิงโจวไปเยี่ยมสหายขุนนางและสหายร่วมรบของตน อบรมชี้แนะโดยไม่ผ่อนปรนแม้แต่น้อย หวังเหยียนชิงรู้ฐานะของตนเองเป็นอย่างดี นางเป็นบุตรีของผู้ใต้บังคับบัญชาของฟู่เยวี่ย ฐานะต่างจากสกุลฟู่ลิบลับ ฟู่เยวี่ยเห็นแก่บุญคุณที่บิดานางเคยช่วยชีวิตเลี้ยงดูนางไว้ข้างกาย แต่ตัวนางเองกระจ่างแจ้งดีว่าคนที่ฟู่เยวี่ยสอนคือหลานชายของตนเอง นางเป็นเพียงตัวเสริมที่เขาถือโอกาสชี้แนะไปพร้อมกัน