บทที่ 2
แรกเริ่มตอนฟู่เยวี่ยรับหวังเหยียนชิงเข้ามาอยู่ในจวน เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องการแต่งงาน ดังนั้นจึงให้ฟู่ถิงโจวกับหวังเหยียนชิงเรียกขานกันแบบพี่น้อง ภายหลังเด็กสองคนนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้น ฟู่เยวี่ยยิ่งเห็นยิ่งถูกใจ จึงเกิดความคิดจับคู่พวกเขา ทว่าความเคยชินที่หวังเหยียนชิงเรียกฟู่ถิงโจวว่า ‘พี่รอง’ กลับยังคงรักษาไว้เช่นนี้
พวกเขาทั้งสองแซ่ไม่เหมือนกันย่อมไม่มีใครเห็นหวังเหยียนชิงเป็นคุณหนูสกุลฟู่อย่างแท้จริง ฟู่ถิงโจวยิ่งไม่มีทางเห็นนางเป็นน้องสาวของตน พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันมาสิบปี ถูกฟู่เยวี่ยด่าด้วยกัน ไปสนามฝึกยุทธ์ฝึกท่านั่งม้า* ด้วยกัน เวลาฟู่ถิงโจวก่อเรื่องหวังเหยียนชิงจะคอยดูต้นทางให้ เวลาฟู่ถิงโจวถูกกักบริเวณหวังเหยียนชิงจะคอยส่งของกินให้เขา หวังเหยียนชิงถึงขั้นสามารถปลอมลายมือของฟู่ถิงโจวได้ สำหรับฟู่ถิงโจวแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังเหยียนชิงแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องสกุลฟู่เหล่านั้นมาก
อย่างไรเสียฟู่ถิงโจวต่างหากที่เป็นหลานชายแท้ๆ ของฟู่เยวี่ย หากฟู่ถิงโจวไม่เต็มใจเสียอย่าง ฟู่เยวี่ยย่อมไม่มีทางบังเกิดความคิดรั้งตัวหวังเหยียนชิงไว้ที่สกุลฟู่ นี่เพราะฟู่เยวี่ยดูออกว่าฟู่ถิงโจวมิได้รังเกียจหวังเหยียนชิง ซ้ำยังสนิทสนมกับนางมาก ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจแทนหลานชาย กะเกณฑ์เรื่องการแต่งงานให้เขา
ทว่าฟู่เยวี่ยสั่งสอนหลานชายมาดีเกินไป ฟู่ถิงโจวมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นปู่ ถึงขั้นความคิดความอ่านเหนือกว่าด้วยซ้ำ เรื่องที่ฟู่เยวี่ยตัดสินใจไปแล้ว ฟู่ถิงโจวยังกล้าที่จะล้มล้าง
ฟู่ถิงโจวพลิกหนังสือในมือก่อนจะวางลงแล้วถาม “นึกอย่างไรจึงอ่านสิ่งนี้เล่า แต่ก่อนเจ้าไม่ชอบหนังสือของชาวซ่งนี่”
หวังเหยียนชิงยิ้มตอบ “ไม่มีอะไรทำจึงหยิบมาอ่านเล่นน่ะ”
นางมีสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบที่ใดกัน เป็นฟู่ถิงโจวต่างหากที่ไม่ชอบ
นางมาอยู่จวนเจิ้นหย่วนโหวสิบปีแทบไม่มีความชื่นชอบเป็นของตนเอง ฟู่ถิงโจวอ่านหนังสือแบบใดนางก็อ่านหนังสือเช่นนั้น ฟู่ถิงโจวชอบเรื่องรื่นเริงใหม่ๆ อันใดนางก็ไปเรียนรู้ ฟู่ถิงโจวคือชีวิตทั้งหมดของนาง บัดนี้ฟู่ถิงโจวจะแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของหวังเหยียนชิงพลันว่างโหวงเป็นโพรงใหญ่ ตอนหยิบหนังสือไม่ทันสังเกตจึงคว้าเล่มนี้มาก็เท่านั้น
ฟู่ถิงโจวจ้องตานาง มิได้ถามต่อ แต่เอ่ยว่า “เหมันต์ปีนี้หนาวเหน็บ ขาเจ้ายังปวดอยู่หรือไม่”
ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์มักมีโรคมากบ้างน้อยบ้าง ครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือฟู่ถิงโจวทำให้หวังเหยียนชิงพลัดตกจากหลังม้า นับแต่นั้นมาขานางก็มีโรคเรื้อรังทิ้งไว้ พออากาศเย็นชื้นก็จะปวดน่อง หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ไม่ปวด ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ ข้าหายดีตั้งนานแล้ว”
ฟู่ถิงโจวยื่นมือออกไปจะแตะขาหวังเหยียนชิงตามความเคยชิน หวังเหยียนชิงกลับลุกขึ้นรินน้ำชา ถือโอกาสนี้หลบเลี่ยงอย่างเป็นธรรมชาติ มือของฟู่ถิงโจวชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะหดมือกลับไปเงียบๆ เขามองหญิงสาวและเอ่ยว่า “เรื่องการรินน้ำชายกน้ำพวกนี้ต้องให้เจ้าทำที่ใดกันเล่า ไม่พบหน้ากันไม่กี่วันห่างเหินกับพี่รองเสียแล้วหรือ”
คำพูดนี้ของฟู่ถิงโจวฟังดูธรรมดาทั่วไป แต่อันที่จริงกลับแฝงนัยบางอย่าง ตั้งแต่ฟู่ถิงโจวโตเป็นผู้ใหญ่น้อยครั้งที่จะแทนตนเองว่า ‘พี่รอง’ เขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของหวังเหยียนชิงสักหน่อย จะเอาแต่พูดคำว่า ‘พี่รอง’ ติดปากไปไยเล่า แต่เมื่อใดที่แทนตนเองด้วยคำสรรพนามในวันวานนั่นแสดงว่าเขาเริ่มไม่พอใจแล้ว
หวังเหยียนชิงหลุบตา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ใช่ที่ใดกัน พี่รองทำสิ่งใดมีระเบียบเป็นที่สุด ข้าย่อมไว้ใจพี่รองอยู่แล้ว”
หวังเหยียนชิงมีท่าทีอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับเมื่อครู่ที่หลบเลี่ยงเขาเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ความขุ่นมัวในใจฟู่ถิงโจวสลายไปเล็กน้อย เขาคิดว่าหวังเหยียนชิงอยู่สกุลฟู่มาสิบปีเป็นไปได้ที่ยังทำใจไม่ได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่นางหึงหวงแสดงว่าในใจนางมีเขาอยู่
เมื่อคิดเช่นนี้ความขุ่นใจที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของฟู่ถิงโจวก็หายไป เขาคว้าข้อมือหวังเหยียนชิงดึงนางให้นั่งลง ครั้งนี้หญิงสาวมิได้หลบเลี่ยงอีก นั่งลงข้างกายเขาอย่างว่าง่าย ฟู่ถิงโจวสัมผัสผิวอ่อนนุ่มดุจผ้าต่วนหิมะในฝ่ามือ ผ่อนน้ำเสียงลงพลางถาม “หลายวันนี้ข้ามัวยุ่งกับเรื่องในราชสำนัก ไม่มีเวลามาหาเจ้า มีผู้ใดมาที่นี่พูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”