ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 3-4
บทที่ 3
วันที่หนึ่งเดือนสิบสอง
หลายวันก่อนหิมะตก สองวันนี้เป็นช่วงเวลาที่หนาวเหน็บพอดี หงหว่านฉิงนั่งอยู่ในรถม้า สาวใช้เติมถ่านลงในเตาอุ่นมือ ปิดทองแล้วส่งให้หงหว่านฉิงเพื่อสร้างความอบอุ่น “คุณหนูสาม อากาศหนาวเย็นท่านรีบอุ่นมือสักหน่อยเถิด”
หงหว่านฉิงรับไป นางกวาดตามองไปยังรอยแยกของม่าน แม้มิได้เอ่ยอะไร แต่สาวใช้อ่านใจนางออก พูดขึ้นทันที “ตกลงกันแล้วว่าจะมายามซื่อไฉนจวนเจิ้นหย่วนโหวยังไม่มาเสียที”
วันนี้จวนเจิ้นหย่วนโหวกับจวนหย่งผิงโหวนัดกันไปไหว้พระ เจิ้นหย่วนโหวกตัญญู ออกมาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นหย่วนโหวด้วยตนเอง เรื่องนี้สองสกุลรู้ดีแก่ใจ เจิ้นหย่วนโหว ‘ออกมาเป็นเพื่อน’ เป็นเพียงข้ออ้าง อยากอาศัยโอกาสนี้พบปะกับหงหว่านฉิงต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายตั้งใจอยู่แล้ว การแต่งงานกำหนดแน่นอน ให้เด็กๆ ได้พบปะทำความรู้จักเป็นการส่วนตัว วันหน้าแต่งเข้ามาแล้วจะได้รีบมีทายาทสืบสกุล หงหว่านฉิงเคยพบฟู่ถิงโจวแค่เพียงครั้งเดียว นั่นเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ฟู่ถิงโจวมาเยือนจวนหย่งผิงโหว ตอนเขาไปคำนับมารดาที่เรือนหลัง หงหว่านฉิงนั่งอยู่หลังฉากบังตา มองเห็นเขาจากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง นางเห็นแค่เงาร่างของเขาก็พวงแก้มแดงซ่าน คนข้างกายต่างหัวเราะไม่หยุด นางจึงไม่กล้ามองอีก จำได้เพียงเขาตัวสูงมาก ไหล่กว้างขายาว องอาจผึ่งผาย รูปร่างสมเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง
นับแต่นั้นมาหัวใจของหงหว่านฉิงก็หล่นหายไปครึ่งหนึ่ง ตอนมารดามาคุยกับนางเรื่องการแต่งงาน นางหน้าแดงกึ่งบอกปัดกึ่งคล้อยตามก่อนจะตอบตกลง หงหว่านฉิงรู้แล้วว่าชีวิตที่เหลือของตนจะต้องอยู่ข้างกายบุรุษผู้นี้ แต่อันที่จริงนางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟู่ถิงโจวหน้าตาเป็นอย่างไร แค่เคยได้ยินญาติผู้พี่และผู้อาวุโสบอกว่าฟู่ถิงโจวรูปโฉมหล่อเหลา ท่วงทีสง่างาม เป็นแบบที่คนในกองทัพชื่นชอบมากที่สุด
ครั้งนี้อาศัยผู้ใหญ่ติดต่อจัดการให้พวกเขาได้พบหน้ากันเป็นการส่วนตัวสักครั้ง หงหว่านฉิงรู้ว่าจะได้พบกับฟู่ถิงโจวก็ตื่นเต้นจนใจไม่อยู่กับตัว นอนไม่หลับสองวันติดต่อกัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงวันที่ไปไหว้พระ นางเตรียมตัวออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ถึงสถานที่นัดหมายแล้ว รอแล้วรอเล่ากลับไม่เห็นชายหนุ่มปรากฏตัวเสียที
จิตใจที่ว้าวุ่นของหงหว่านฉิงเย็นเยียบลงทีละน้อย นางอดคิดมิได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่ไม่ชอบนางหรือไม่ หรือว่าฟู่ถิงโจวเปลี่ยนใจไม่มาแล้ว หญิงสาวข่มความคิดฟุ้งซ่าน ออกแรงจับเตาอุ่นมือร้อนระอุแน่น พูดเสียงค่อย “บางทีฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นหย่วนโหวอาจจะติดธุระทำให้ออกมาสายกระมัง”
สาวใช้พลันขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “คุณหนูสาม ได้ยินว่าวันนี้บุตรีบุญธรรมของสกุลฟู่ท่านนั้นก็มาด้วยเจ้าค่ะ”
หงหว่านฉิงกลอกตา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เอ่ยถาม “บุตรีบุญธรรม?”
ความจริงหงหว่านฉิงตระหนักถึงตัวตนของแม่นางหวังตั้งแต่แรกแล้ว จวนเจิ้นหย่วนโหวมีบุตรีบุญธรรมคนหนึ่ง ท่านโหวผู้เฒ่าเป็นคนเลี้ยงดูมากับมือ รูปโฉมงามสะคราญยิ่งนัก ลือกันไปทั่วในกลุ่มชนชั้นสูง หงหว่านฉิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร รู้เพียงว่าแซ่หวัง รู้หนังสือ รู้วรยุทธ์ ดูเหมือนจะสนิทสนมกับฟู่ถิงโจวมาก
พี่ชายน้องชายที่บ้านยามเอ่ยถึงแม่นางหวัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย พอเห็นหงหว่านฉิงมาก็รีบหยุดปาก หงหว่านฉิงรู้ดีแก่ใจ บุคคลผู้นี้เกินครึ่งคงเป็นศัตรูหัวใจของนางในอนาคตเป็นแน่
บุรุษผู้หนึ่งเก็บสาวงามคนหนึ่งไว้ข้างกายถึงสิบปี ซุกซ่อนไว้ไม่ให้คนนอกเห็น อายุสิบเจ็ดแล้วยังไม่ปล่อยให้ออกเรือน นั่นจะหมายความว่าอย่างไรได้อีก มารดาคงจะได้ยินข่าวลือพวกนี้มาเช่นกันจึงแอบบอกนางลับๆ ว่าการแต่งงานของนางกับฟู่ถิงโจว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่เป็นคนพยักหน้าตกลง ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่ให้สัญญาว่าวันหน้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขายหน้าอย่างการยกอนุขึ้นข่มภรรยาเอกแน่นอน หากสกุลหงยังไม่วางใจ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่สามารถพาคนมาให้พวกนางดูก่อนได้
มารดาตกลงจึงได้มีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้น
สาวใช้เบ้ปาก “ยังจะเป็นใครได้เล่าเจ้าคะ มิใช่คนที่ท่านโหวผู้เฒ่ารับมาเลี้ยงหรือ ได้ยินว่าบิดานางเคยช่วยชีวิตท่านโหวผู้เฒ่าไว้ เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านโหวผู้เฒ่าจึงรับนางมาอยู่จวนเจิ้นหย่วนโหว อยู่ไปอยู่มาก็ผ่านไปสิบปี นางได้รับการปรนนิบัติไม่แตกต่างจากท่านโหว แม้แต่บุตรีสกุลฟู่เองยังเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ บัดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าจากไปแล้ว แม่นางหวังท่านนี้ไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่อ”
หงหว่านฉิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “จวนเจิ้นหย่วนโหวเป็นตระกูลที่รู้บุญคุณคน รู้ธรรมเนียมมารยาท เจิ้นหย่วนโหวไม่มีทางไม่ไยดีน้องสาวบุญธรรมแน่”
สาวใช้เหยียดปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี “มิใช่หรือเจ้าคะ คุณหนู ท่านวางใจเถอะ มีฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่อยู่ ปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นไม่อาจสร้างคลื่นลมได้ อีกทั้งนายท่านก็บอกแล้วว่าท่านโหวสกุลฟู่สุขุมเยือกเย็นคิดอ่านการณ์ไกล เจิ้นหย่วนโหวมิใช่คนที่แยกแยะไม่ได้อย่างแน่นอน มีฮูหยินผู้เฒ่าคอยส่งเสริม มีท่านโหวที่กระจ่างแจ้งในเหตุผล วันข้างหน้าเวลาแห่งความสุขของท่านยังอีกยาวไกลเจ้าค่ะ”
หงหว่านฉิงถูกคำพูดเหล่านี้ทำเอาหน้าแดง ตำหนิสาวใช้อย่างไม่จริงจัง “อย่าพูดเหลวไหล หุบปากเสีย”
สาวใช้ได้ประจบผู้เป็นนายแล้วจึงกล่าวขออภัยและกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไป หลังมีเรื่องนี้แทรกเข้ามา จิตใจที่ว้าวุ่นของหงหว่านฉิงก็สงบลงมาก นั่นสิ นางเป็นบุตรีสายตรงของตระกูลโหว วันข้างหน้าจะต้องเป็นภรรยาเอก จะไปเปรียบกับอนุได้อย่างไร ก็แค่บุตรีบุญธรรมคนหนึ่งเท่านั้น มิอาจทำอะไรนางได้
ระหว่างพูดคนของจวนเจิ้นหย่วนโหวก็เดินทางมาถึงแล้ว หงหว่านฉิงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด นางกับสาวใช้พร้อมใจกันเงียบพลางเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอก เสียงล้อรถม้าดังกึงกังใกล้เข้ามา ยังได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังก้องปะปนมาอย่างเลือนรางด้วย เสียงกีบเท้าม้าหยุดลงตรงหน้าขบวนรถของจวนหย่งผิงโหว หลังจากนั้น เสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้น “ผู้น้อยมาช้า ขอฮูหยินหย่งผิงโหวโปรดอภัยด้วย”
หงหว่านฉิงหัวใจเต้นตึกตัก นางรู้ว่าเขาก็คือฟู่ถิงโจว…ว่าที่สามีของนาง ยามนี้อยู่ห่างจากนางเพียงผนังรถกั้นขวางเท่านั้น หงหว่านฉิงแอบเลิกม่านรถขึ้น เห็นว่าไม่ไกลออกไปมีเงาร่างสีม่วงดำสายหนึ่ง อีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่ ทว่าไหล่หลังกลับบางมาก ยามนั่งอยู่บนอาชาดูสูงโปร่งผ่าเผย ดูออกว่าเป็นผู้ขยันฝึกยุทธ์ แตกต่างจากหนุ่มกางเกงแพรที่เหลาะแหละพวกนั้นโดยสิ้นเชิง
หงหว่านฉิงเห็นหน้าฟู่ถิงโจวแล้วพวงแก้มแดงเรื่อทันใด นางรู้ตัวว่าเสียมารยาทจึงรีบปล่อยม่านลง เวลานี้เองหงหว่านฉิงก็เหลือบตาขึ้นโดยบังเอิญ เห็นฝั่งตรงข้ามก็เลิกม่านขึ้นครึ่งหนึ่งเช่นกัน คนข้างในกำลังมองมาที่นางนิ่งๆ
สายตาของสองคนปะทะและสวนผ่านกันไป ต่างปล่อยม่านลงพร้อมกัน นิ้วมือของหงหว่านฉิงกำพู่ระย้าออกแรงบีบโดยไม่รู้ตัว
นั่นก็คือแม่นางหวังน้องสาวบุญธรรมของฟู่ถิงโจวอย่างนั้นหรือ ไม่ผิดจากที่คนเล่าลือกัน เป็นโฉมงามคนหนึ่ง