สาวใช้เห็นหงหว่านฉิงจ้องม่านรถอย่างเหม่อลอยไม่พูดไม่จา ยังคิดว่าผู้เป็นนายเขินอายเสียอีก จึงร้องบอกเบาๆ “คุณหนู พวกเราจะไปกันแล้ว”
หงหว่านฉิงดึงสติกลับมา พยักหน้านิดๆ ฟู่ถิงโจวทำเป็นไม่รู้ว่าถูกแอบมองเมื่อครู่ เขาสั่งให้องครักษ์เปิดทาง รถม้าแล่นไป สตรีของสองจวนรวมกันเป็นขบวนเดียว เดินทางภายใต้การคุ้มกันของฟู่ถิงโจว
วัดต้าเจวี๋ยตั้งอยู่บนเขาซีซานบริเวณชานเมือง เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ครอบครัวขุนนางในนครหลวงชอบมามากที่สุด ตอนที่หงหว่านฉิงยังไม่ได้พบฟู่ถิงโจว นางชะเง้อชะแง้คอมองหา แต่เมื่อได้พบตัวจริงของเขาแล้วนางกลับสงบเสงี่ยมลง
หงหว่านฉิงพลันตระหนักว่าสิ่งที่นางต้องเผชิญหน้าอาจมิใช่แค่อนุธรรมดาคนหนึ่ง
ตลอดทางไร้อุปสรรค กว่าหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ถึงวัดต้าเจวี๋ย วัดต้าเจวี๋ยต้อนรับขุนนางและพระญาติผู้สูงศักดิ์จนคุ้นชิน รถม้าของสองจวนจอดที่ประตูชั้นใน ตอนหงหว่านฉิงลงจากรถ นางก็เหลือบมองไปอีกด้านหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
หวังเหยียนชิงกำลังลงจากรถเช่นกัน อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ ด้านนอกหมวกคลุมศีรษะประดับขนฟูนุ่มเป็นวงล้อมอยู่ใต้คาง ขับเน้นให้หญิงสาวงามประหนึ่งน้ำค้างแข็งและหิมะ ดั่งเจาจวิน* กลับชาติมาเกิด ฟู่ถิงโจวหยุดข้างรถม้าของอีกฝ่าย เห็นหวังเหยียนชิงลงจากรถก็ยื่นมือไปหมายจะประคอง หวังเหยียนชิงยิ้มส่ายหน้าให้เขา ฟู่ถิงโจวจึงไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่
ทั้งที่หงหว่านฉิงถือเตาอุ่นมืออยู่ แต่กลับรู้สึกมือไม้เย็นเฉียบ ฮูหยินหย่งผิงโหวมองเห็นเช่นกัน นางเห็นรูปร่างหน้าตาของหวังเหยียนชิงแล้วหัวใจสะดุดหนึ่งที ภายหลังเมื่อเห็นท่าทีที่ฟู่ถิงโจวปฏิบัติต่อหวังเหยียนชิงหัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง
รอจนเข้าไปในห้องพักผ่อนของจวนหย่งผิงโหวแล้ว ฮูหยินหย่งผิงโหวเรียกหงหว่านฉิงเข้ามาทันที เอ่ยด้วยท่าทางชี้แนะ “หว่านฉิง เจ้าเห็นสตรีที่ชื่อหวังเหยียนชิงผู้นั้นแล้วกระมัง”
หงหว่านฉิงรับคำเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง ฮูหยินหย่งผิงโหวอดทนไว้ สั่งสอนบุตรสาวอย่างไม่ได้ดั่งใจ “ ‘อืม’ อะไรของเจ้า ตอนนี้ใช่เวลามาแสดงความใจกว้างอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังจะเป็นภรรยาเอก เป็นว่าที่ฮูหยินเจิ้นหย่วนโหว เจ้าต้องวางท่าของภรรยาเอก ต้องกำราบผู้อื่นให้ได้ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ประเดี๋ยวกลับไปแล้วเจ้าต้องหมั่นไปพูดคุยข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่ คำพูดคำจาต้องมีไหวพริบหน่อย เข้าใจหรือไม่”
หย่งผิงโหวก็เป็นขุนพลนามกระเดื่องคนหนึ่งของฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ แม่ทัพขุนพลร่างกายแข็งแรงกว่าขุนนางฝ่ายพลเรือน สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นคือการมีบุตรธิดามากมาย หย่งผิงโหวมีอนุไม่น้อย บุตรในเรือนหลังถือกำเนิดอย่างต่อเนื่อง ทว่าฮูหยินหย่งผิงโหวฝีมือดีเยี่ยม บุตรอนุทั้งชายหญิงล้วนถูกนางกำราบจนอยู่หมัด ไม่ว่าสตรีในเรือนหลังจะเป็นที่รักใคร่เพียงใดก็ไม่มีใครเคยสั่นคลอนตำแหน่งของนางได้ ชีวิตนี้ของฮูหยินหย่งผิงโหวผลงานการสู้รบปรบมือกับสตรีโดดเด่นยิ่งนัก ครั้นเห็นบุตรสาวกำลังจะออกเรือน นางก็แทบอยากจะถ่ายทอดเคล็ดลับที่เรียนรู้มาชั่วชีวิตให้กับหงหว่านฉิง
หงหว่านฉิงถูกมารดาสั่งสอนเช่นนี้แล้วก็ค่อยๆ มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น สกุลหงมีพี่สาวน้องสาวตั้งมากมาย เวลาแย่งชิงความรักนางไม่เคยด้อยกว่าใคร บัดนี้นางมีวงศ์ตระกูลคอยสนับสนุน แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงบุตรีครอบครัวทหารที่มีดีแต่หน้าตาไร้ชาติตระกูล นางไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะพ่ายแพ้
หงหว่านฉิงได้กำลังใจจากมารดาแล้ว กลับเข้าไปด้านหน้าบริเวณที่รับรองแขกอีกครั้ง ครานี้ตอนผ่านประตูเข้าไป นางพบว่าฟู่ถิงโจวก็อยู่ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่เฉินซื่อนั่งอยู่ตรงกลาง ฟู่ถิงโจวนั่งข้างเฉินซื่อ หวังเหยียนชิงยกเก้าอี้ทรงกลมไม่มีพนักตัวหนึ่งเข้ามา นั่งเงียบๆ อยู่ข้างหลัง เห็นคนของจวนหย่งผิงโหวเข้ามา เฉินซื่อกับฟู่ถิงโจวต่างลุกขึ้น ฮูหยินหย่งผิงโหวใบหน้าระบายยิ้ม ก้าวยาวๆ เข้าไปยิ้มเอ่ย “ที่แท้เจิ้นหย่วนโหวมาแล้วนี่เอง รีบนั่งลงเถิด ข้ามิได้รบกวนพวกท่านแม่ลูกสนทนากันกระมัง”
ฟู่ถิงโจวยิ้มตอบด้วยท่าทีไม่ห่างเหินและไม่ชิดใกล้ “ไม่เลยขอรับ เชิญหงฮูหยินและคุณหนูสามนั่งลงเถิด”
ทุกคนนั่งลงตามลำดับ หงหว่านฉิงตามติดข้างกายมารดา อดชำเลืองมองฟู่ถิงโจวครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้ เฉินซื่อสังเกตเห็นการกระทำของหงหว่านฉิงจึงยิ้มทัก “หงฮูหยินกับคุณหนูสามกลับมาแล้ว เมื่อครู่ได้ยินคุณหนูสามบอกว่าไม่ค่อยสบาย ไม่เป็นอะไรกระมัง”
ฮูหยินหย่งผิงโหวหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่เป็นไรหรอก บุตรสาวคนนี้ถูกพวกข้าเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม เร่งเดินทางแค่ครึ่งวันร่างกายก็จะไม่ไหวแล้ว ไม่เหมือนท่านโหว เข้าออกค่ายทหารตั้งแต่เล็ก แม้แต่พี่ชายข้ายังชมว่าเขายอดเยี่ยม”
“ฮูหยินชมเกินไปแล้ว” ฟู่ถิงโจวตอบ “วันนี้ตอนออกจากจวนพบเจอเรื่องราวเล็กน้อยจึงล่าช้าไป ทำให้หงฮูหยินกับคุณหนูสามรอนาน เป็นข้าเองที่ผิด คุณหนูสามโปรดอภัยด้วย”