คนของสองจวนพบปะกันนานแล้ว จนกระทั่งบัดนี้สายตาของฟู่ถิงโจวจึงเลื่อนมามองหงหว่านฉิง อีกทั้งแค่เหลือบมองมาและเบนออกไปโดยเร็ว รักษามารยาทอย่างยิ่ง หงหว่านฉิงหัวใจเต้นรัวกว่าเดิม เขาเพียงเรียกนางว่า ‘คุณหนูสาม’ ซึ่งเป็นคำเรียกขานที่สุภาพอย่างมาก แต่คำพูดไม่กี่คำนี้ยามออกจากปากเขาราวกับเจืออาคมประหลาด พาให้นางหน้าแดงใจสั่น สายตาพร่าลาย
เนื่องจากมีฟู่ถิงโจวอยู่ ประกอบกับการชี้แนะจากมารดาเมื่อครู่ ช่วงเวลาต่อจากนี้หงหว่านฉิงจึงสดใสร่าเริงกว่าเดิมมาก นางนั่งอยู่ข้างกายเฉินซื่อและมารดา วางตัวเหมาะสม ช่างเจรจาพาที ไม่นานก็สามารถเอาอกเอาใจเฉินซื่อจนหัวเราะอย่างเบิกบานได้ ระหว่างที่หงหว่านฉิงยิ้มแย้มพูดคุย นางแอบชำเลืองมองฟู่ถิงโจว พบว่าเขาอมยิ้มมองมาทางพวกนาง ทว่ารอยยิ้มบนริมฝีปากไม่ลึก คล้ายมีเรื่องอื่นในใจ
หงหว่านฉิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นางจำที่บิดาเคยบอกมาได้ ช่วงนี้ฟู่ถิงโจวมีความขัดแย้งกับองครักษ์เสื้อแพร บางทีเขาอาจกำลังคิดถึงเรื่องข้างนอกอยู่กระมัง หงหว่านฉิงไม่รู้เรื่องราวในราชสำนัก แต่แค่ได้ยินคำว่า ‘องครักษ์เสื้อแพร’ ก็รู้ว่ารับมือได้ยาก
หงหว่านฉิงห่อเหี่ยวใจอยู่บ้าง ส่วนฟู่ถิงโจวมิได้สังเกตสายตาของหงหว่านฉิงแม้แต่น้อย สาเหตุที่เขาเหม่อลอยส่วนหนึ่งเป็นเพราะองครักษ์เสื้อแพรจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นเพราะหวังเหยียนชิง
นางสงบนิ่งเกินไป ท่าทางก้มหน้าไม่พูดไม่จาของนางทำเอาฟู่ถิงโจวว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ข้างหลัง ฟังเฉินซื่อพูดคุยหัวเราะกับคนของจวนหย่งผิงโหวเงียบๆ ท่าทางปรองดองใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ผู้อื่นก็เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ นี่นา หวังเหยียนชิงยกริมฝีปากยิ้มอย่างเสียดสี นางต่างหากที่เป็นคนนอกเพียงคนเดียว
หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าการมาวัดต้าเจวี๋ยของตนเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง ถูกคนทอดทิ้งไม่พอ ไยต้องหาความอัปยศใส่ตัวด้วย บางทีคนเราอาจต้องถูกตบหน้าสักฉาดจึงจะตื่นเสียทีกระมัง ตอนนี้ในใจหญิงสาวสงบนิ่งกว่าครั้งใด นางคิด รอไว้วันนี้กลับไป นางย่อมสามารถเก็บข้าวของจากไปได้เสียที
ท่านโหวผู้เฒ่าเลี้ยงดูนางมาสิบปี นางไม่อาจตอบแทนบุญคุณด้วยความเนรคุณ ในเมื่อนางเรียกฟู่ถิงโจวว่า ‘พี่รอง’ เช่นนั้นจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องทำให้เขากับว่าที่พี่สะใภ้หมางใจกัน นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่น้องสาวอย่างนางจะสามารถทำให้เขาได้
การเดินทางมาวัดต้าเจวี๋ยนับว่าชื่นมื่นเบิกบานทั้งแขกและเจ้าภาพ ฤดูเหมันต์ทิวาสั้น ยามเซิน* ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เมฆดำกดทับลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า ดูท่าเหมือนหิมะจะตก ฟู่ถิงโจวเห็นอากาศผิดปกติจึงเสนอให้กลับเมือง ฮูหยินหย่งผิงโหวบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง คนของสองฝ่ายเตรียมตัวเสร็จอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นขามา ออกเดินทางกลับเมืองช้าๆ
ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึงช่องเขา ลมพัดแรงขึ้นทุกที ฟู่ถิงโจวสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ ควบขี่อาชากลางสายลม พูดคุยกับหวังเหยียนชิงผ่านม่านรถ “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ยังจะโกรธข้าไปถึงเมื่อใด”
ผ่านไปเนิ่นนานข้างในจึงมีเสียงสตรีลอยออกมา “เปล่า ข้าจะโกรธพี่รองได้อย่างไร”
นางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ โมโหก็ไม่โวยวาย ไม่เคยใช้อารมณ์ แต่ก่อนฟู่ถิงโจวชอบในความสุขุมรู้จักวางตัวของนาง แต่บัดนี้เขากลับชิงชังการรู้จักวางตัวของนางเสียแล้ว
ฟู่ถิงโจวรู้สึกเหมือนกำลังต่อยหมัดลงบนปุยฝ้าย เขาตั้งใจจะพูดดีกับนาง แต่นางกลับเมินเฉยคล้ายว่าเรื่องราวไม่เกี่ยวกับตน โทสะสั่งสมในใจฟู่ถิงโจวไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนทะเลาะกัน สัญชาตญาณบอกเขาว่าต้องพูดคุยให้ชัดเจนทันที
ฟู่ถิงโจวคิดจะพูดอะไรอีก ข้างหน้าพลันเกิดเสียงเอะอะ จากนั้นขบวนก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ส่งผู้ติดตามไปสอบถาม ไม่นานผู้ติดตามก็วิ่งกลับมารายงานว่า “ท่านโหว รถม้าของคุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวไม่รู้เหตุใดจึงชำรุด ไม่อาจแล่นต่อไปได้ ท่านโหว ท่านเห็นว่า…”
ฟู่ถิงโจวมุ่นคิ้ว ไฉนจึงประจวบเหมาะเป็นเวลานี้พอดี หวังเหยียนชิงได้ยินแล้ว ไม่รอให้ฟู่ถิงโจวเอ่ยปากก็บอกว่า “พี่รอง รถม้าของคุณหนูสามสกุลหงชำรุด ท่านรีบไปดูเถอะ”