จวนสกุลลู่
ลู่เหิงลงจากม้า คนเฝ้าประตูรีบวิ่งลงมาจากบันได จูงม้าให้ลู่เหิง ลู่เหิงสั่งการง่ายๆ “หาอาหารให้มันด้วย” จากนั้นก็ยกชายอาภรณ์ก้าวยาวๆ ตรงไปในเรือน
กัวเทาตามติดไปเบื้องหลังเขา รายงานว่า “ผู้บัญชาการ เมื่อคืนสกุลฟู่ค้นหาอยู่ใต้เขาตลอดทั้งคืน เช้าวันนี้มีคนจับตาดูประตูประจิมของที่ทำการอยู่ขอรับ”
ลู่เหิงหัวเราะ “กล้าจับตาดูองครักษ์เสื้อแพร? ขวัญกล้าไม่เบานี่ เห็นทีลูกธนูเมื่อวานดอกนั้นจะยิงเบาไปหน่อย”
เมื่อครู่การประชุมขุนนางเพิ่งเลิก ฟู่ถิงโจวทำเหมือนปกติคือไปรวมตัวที่ประตูอู่เหมิน จากนั้นก็เข้าวังเพื่อเข้าร่วมการประชุมขุนนาง มองไม่เห็นความผิดปกติของร่างกายแม้แต่น้อย หลังเลิกประชุมลู่เหิงกับฟู่ถิงโจวก็แยกย้ายไปคนละทาง แม้กระทั่งแลกเปลี่ยนสายตากันสักแวบยังไม่มี แต่ลู่เหิงรู้ว่าที่แขนของฟู่ถิงโจวมีบาดแผล อีกทั้งยังรู้ว่าที่ฟู่ถิงโจวไม่มาหาเขา ทั้งยังอดทนอดกลั้นได้เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่พบหลักฐาน
ตราบที่ในมือไม่มีหลักฐานบุ่มบ่ามเข้ามาจะมีประโยชน์อันใด รังแต่จะเป็นการยื่นจุดอ่อนของตนเองให้ผู้อื่นก็เท่านั้น
ลู่เหิงรู้ดีว่าฟู่ถิงโจวสงสัยเขา แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย คาดเดาได้แล้วอย่างไร อยากพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของเขาลู่เหิงก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้ หากฟู่ถิงโจวหาเบาะแสได้ก็นับว่าอีกฝ่ายเก่งกาจ
สำหรับลู่เหิง ฟู่ถิงโจวเป็นเพียงเครื่องเคียงที่ช่วยเพิ่มรสชาติในชีวิตเท่านั้น เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะเอาชีวิตอีกฝ่ายอยู่แล้ว ลู่เหิงรู้นิสัยของท่านนั้นในวังเป็นอย่างดี ฮ่องเต้ดูเหมือนทำสิ่งใดตามใจตนเอง แต่แท้จริงแล้วความคิดอ่านกลับเฉียบแหลมยิ่งนัก เหล่าขุนนางสู้กันไปมาช่วยให้อำนาจของฮ่องเต้มั่นคงยิ่งขึ้น ฮ่องเต้ยินดีหูหนวกเป็นใบ้ แต่หากทำเกินไปจนกระทบต่อความปลอดภัยของซีเป่ย ฮ่องเต้ย่อมไม่ทน
สกุลฟู่มีรากฐานมั่นคงในกองทัพ โดยเฉพาะฟู่เยวี่ยที่รักษาการณ์ต้าถงหลายปี มีชื่อเสียงเกรียงไกรในกองทัพซีเป่ย ฮ่องเต้ยังหวังให้สกุลฟู่ป้องกันแนวชายแดนตะวันตกย่อมไม่มีทางปล่อยให้สกุลฟู่เกิดเรื่องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้แน่
กำราบลิงที่น่ารังเกียจได้แล้ว ลู่เหิงนับว่าได้ระบายโทสะ ความคิดจิตใจก็เบนกลับมายังเรื่องสำคัญของตนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาถาม “พวกที่อยู่ในคุกยอมพูดหรือยัง”
กัวเทาส่ายหน้า “ยังขอรับ พวกเขาเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนของสำนักฮั่นหลิน แต่ละคนร่างกายล้ำค่าสูงส่ง พวกเราไม่กล้าลงทัณฑ์ ขืนโบยตีพวกเขาจนเป็นอะไรไป เกรงว่าเรื่องราวจะมิอาจยุติได้”
ลู่เหิงว่า “พวกเขามีคนคอยปกป้องอยู่ข้างหลังย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใดอยู่แล้ว ขังพวกเขาเอาไว้ก่อน ไม่ให้กินไม่ให้ดื่ม ข้าจะรอดูว่ากระดูกของพวกเขาจะแข็งได้นานเพียงใด”
กัวเทาลังเลอยู่บ้าง “ผู้บัญชาการ ทำเช่นนี้ออกจะล่วงเกินคนไปหน่อยหรือไม่”
ขุนนางฝ่ายพลเรือนของสำนักฮั่นหลินมิใช่ธรรมดา ขุนนางที่เข้าสำนักฮั่นหลินได้ล้วนเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง* ความสัมพันธ์จากการสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์มีเบื้องหลังสลับซับซ้อน แตะต้องคนหนึ่งก็คือแตะต้องฝ่ายหนึ่ง หากปล่อยคนที่มีชีวิตอยู่ออกไป รอจนบาดแผลของอีกฝ่ายหายดีแล้วจะต้องแว้งกัดลู่เหิงเหมือนสุนัขบ้าตัวหนึ่งแน่ แต่หากตีให้ตาย…สุนัขบ้าทั้งฝูงก็จะกระโจนเข้ามา
ลู่เหิงปรายตามองกัวเทาเรียบๆ ริมฝีปากคล้ายมีรอยยิ้มแต่งแต้ม “ข้าก็อยากเป็นคนดีอยู่เหมือนกัน แต่ฝ่าบาททรงต้องการผลลัพธ์ ไม่ล่วงเกินคน จะไปหาผลลัพธ์ได้จากที่ใด”
กัวเทาไม่เอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าประสานมือ “รับทราบ”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ลู่เหิงก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อวานเขาไปจัดการฟู่ถิงโจว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดจึงวางกับดักไว้ใต้หน้าผา ไม่คิดว่าจับคนสกุลฟู่ไม่ได้กลับได้ของขวัญชิ้นหนึ่งมาโดยไม่คาดฝัน ลู่เหิงถาม “หญิงผู้นั้นฟื้นหรือยัง”
“ยังขอรับ” กัวเทาคิดถึงเรื่องนี้แล้วเอ่ยอย่างสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น “ผู้บัญชาการ ท่านไม่ได้เห็น เมื่อวานจวนเจิ้นหย่วนโหวค้นหาอยู่ใต้เขาทั้งคืน เช้าวันนี้ยังคงค้นหากันอยู่ ข้าจำได้ว่าคนที่ตกลงมามิใช่คู่หมั้นของฟู่ถิงโจว ไฉนเขาจึงใส่ใจถึงเพียงนี้”
ลู่เหิงหัวเราะสั้นๆ ไม่เอ่ยอะไร หากเมื่อวานคนที่พลัดตกลงมาเป็นหงหว่านฉิง เรื่องราวกลับจะยุ่งยากกว่าเดิม เขาลอบทำร้ายฟู่ถิงโจว นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัว แต่หากดึงหลานสาวของกัวซวินมาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องราวย่อมบานปลาย
ลู่เหิงพูดช้าๆ “ข้ามอบโอกาสในการเป็นผู้กล้าช่วยสาวงามให้กับเขา เขาควรจะขอบคุณข้าถึงจะถูก เอาน้องสาวคนหนึ่งมาแลกกับหลานสาวของกัวซวิน ไม่ขาดทุนหรอก เจ้ากลับไปสอบปากคำบัณฑิตสำนักฮั่นหลินพวกนั้นก่อน ข้าจะไปหา ‘น้องสาว’ ของฟู่ถิงโจวเสียหน่อย”
“ขอรับ” กัวเทากุมหมัดรับคำ จากนั้นก็หันกายจากไป
ส่งกัวเทาจากไปแล้ว ลู่เหิงเดินไปยังเรือนหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้า เจตนาดั้งเดิมของเขาคือฟู่ถิงโจว จับหวังเหยียนชิงได้เป็นเรื่องไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิง ในใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่องครักษ์เสื้อแพรไม่รู้ โดยเฉพาะเรื่องราวบนพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟิน* ในนครหลวงแห่งนี้ พวกขุนนางใหญ่ยังไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของพวกเขาหรือไม่ แต่องครักษ์เสื้อแพรกลับรู้
ในหัวของลู่เหิงผุดประวัติที่เกี่ยวกับหวังเหยียนชิงโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย