บทที่ 5
นี่เป็นการตอบสนองที่หลิงซีไม่คาดคิดมาก่อน นางลนลานอย่างเห็นได้ชัด มองไปหลังฉากบังตาโดยไม่รู้ตัว หลังฉากบานพับปักลายทิวเขานทีสี่บานนั้น เงาคนสายหนึ่งวางถ้วยชาและลุกขึ้นยืนอย่างไม่เร็วไม่ช้า
หลิงซีได้รับสัญญาณจากผู้บัญชาการ นางตั้งสติให้มั่นแล้วยิ้มตอบ “แม่นางหวัง ท่านอย่าได้ล้อบ่าวเล่น”
“แม่นางหวัง?” หวังเหยียนชิงพิงหมอนกระเบื้องรูปใบไม้สีหยก เอียงศีรษะเล็กน้อย “ข้าคือแม่นางหวังหรือ”
ดวงตานางใสกระจ่างเปิดเผย มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงก้นบึ้ง ดูไม่เหมือนเสแสร้ง หลิงซีทำอะไรไม่ถูกแล้ว มองไปหลังฉากบังตา หวังเหยียนชิงหันไปมองเช่นกัน เห็นบนฉากบานพับปักลายทิวเขานทีปรากฏเงาร่างสีแดงสายหนึ่ง ฉากบานพับนี้ลวดลายเรียบง่าย แต่สีสันบนตัวเขากลับฉูดฉาด ยามยืนอยู่ตรงนั้นสะท้อนตัวตนออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
หวังเหยียนชิงเห็นหน้าเขาไม่ชัด รู้สึกได้เพียงเขาตัวสูงมาก ท่วงท่าผึ่งผาย ทุกคนในห้องล้วนหวาดกลัวเขา หวังเหยียนชิงไม่รู้เรื่องรู้ราว เผชิญหน้ากับเขาอย่างเหม่อลอย คนผู้นั้นมองดูครู่หนึ่งก่อนจะหันกายจากไป
หลังจากเขาออกไป สาวใช้สองคนหน้าเตียงก็โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด หวังเหยียนชิงมองสีหน้าของพวกนางเงียบๆ แล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้ารู้จักข้า?”
ลู่เหิงออกไปและสั่งให้ตามหมอเข้าจวนทันที องครักษ์เสื้อแพรเดินอยู่บนคมหอกคมดาบ บ่อยครั้งที่ได้รับบาดเจ็บและมิอาจบอกใคร เวลาเช่นนี้ไม่อาจตามหมอหลวง ได้แต่หาหมอมาเองอย่างลับๆ สกุลลู่เป็นองครักษ์เสื้อแพรมาทุกรุ่น มีลู่ทางกว้างขวาง หลังจากลู่เหิงเดินทางเข้านครหลวงก็รับตัวหมอหลายคนที่ไว้ใจได้มาจากอันลู่โดยตรง
ผ่านไปไม่นานหมอก็มาถึงและคำนับลู่เหิง ลู่เหิงพยักพเยิดไปทางห้องกลาง บอกให้หมอเข้าไปจับชีพจรคนข้างใน
เขานั่งอยู่ในโถงข้าง รอคอยอย่างอดทน ผ่านไปพักหนึ่งหมอก็ซับเหงื่อเดินออกมา พอเห็นลู่เหิงลิ้นของเขาก็พันกันอย่างห้ามไม่อยู่ “ผู้บัญชาการ แม่นางท่านนี้…”
ลู่เหิงนั่งบนเก้าอี้พนักโค้งไม้ประดู่ จ้องตาหมออย่างสุขุมเยือกเย็น “นางเป็นอะไร”
“นางดูเหมือนจะ…สูญเสียความจำขอรับ”
ลู่เหิงเลิกคิ้ว มองหมอด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หมอเองก็รู้สึกประหลาดใจทีเดียว พูดจาตะกุกตะกัก “ตอนแม่นางตกลงมามีตาข่ายรับตัวไว้ช่วยลดแรงกระแทก แม้อวัยวะภายในจึงไม่มีปัญหา แต่ศีรษะนางไม่ระวังกระแทกถูกก้อนหิน บางทีอาจเพราะเหตุนี้จึงทำให้สูญเสียความทรงจำ ข้าน้อยตรวจดูอาการของแม่นางแล้ว นางรู้จักเจ็บ รู้จักคัน ความรู้สึกของแขนขาทั้งสี่เป็นปกติ ความรู้เกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไปก็ยังมีอยู่ เพียงแต่จดจำคนไม่ได้เท่านั้น”
ลู่เหิงหัวเราะเบาๆ “อาการสูญเสียความจำของนางเช่นนี้ ช่างบังเอิญโดยแท้”
“สมองเป็นส่วนสำคัญ หากศีรษะถูกกระแทก ไม่ว่าอาการอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นอาการสูญเสียความทรงจำของแม่นางยังไม่นับว่าหายาก ตำราแพทย์มีบันทึกว่าแต่ก่อนก็เคยมีคนเล่นมวยปล้ำจนศีรษะด้านหลังถูกกระแทก ตื่นมาแม้แต่บิดามารดาบุตรก็จดจำไม่ได้ ยังมีคนหกล้มจนความคิดความอ่านกลับไปเป็นเด็ก แม่นางท่านนี้ไม่ร้องไห้โวยวาย เพียงหลงลืมเรื่องในอดีตไป นับว่าดีแล้ว”
ปลายนิ้วของลู่เหิงเคาะที่เท้าแขน เอ่ยอย่างครุ่นคิด “นั่นสิ หากลืมไปจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี”
หมอก้มหน้ามองพื้น ไม่ไปมองสีหน้าของลู่เหิง ลู่เหิงขบคิดครู่หนึ่งแล้วถาม “อาการสูญเสียความทรงจำเช่นนี้จะคงอยู่นานเพียงใด มีวิธีรักษาหรือไม่”
“เรื่องนี้…” หมอทำหน้าลำบากใจ “เรื่องภายในหัว ใครก็ตอบได้ไม่ชัดเจนทั้งนั้น บางทีเมื่อโลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะของแม่นางสลายไป ความทรงจำอาจจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม แต่บางที…ชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่มีวันฟื้นฟูความทรงจำได้อีก”
ลู่เหิงเงียบงันชั่วครู่ เขาพลันหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้ทำเอาหมอขนลุกซู่ ลู่เหิงกลับโบกมือ เอ่ยด้วยสุ้มเสียงสุขุม จับอารมณ์ไม่ได้แม้แต่น้อย “ออกไปจ่ายยาเถอะ”
หมอคาดเดาความคิดจิตใจของลู่เหิงไม่ออก ทำใจกล้าถาม “อาการป่วยของแม่นางร้ายแรง ไม่ทราบผู้บัญชาการต้องการใช้ยาใดขอรับ”
ร่างกายของลู่เหิงเอนไปข้างหลังช้าๆ แขนข้างหนึ่งพาดบนเก้าอี้พนักโค้ง อมยิ้มมองหมอ “ยาบำรุง”
หมอเข้าใจแล้ว อาการป่วยของแม่นางท่านนี้ไม่จำเป็นต้องรักษา แค่จ่ายยาบำรุงร่างกายทั่วไปก็เพียงพอ หมอประสานมือ บ่าวรับใช้จวนสกุลลู่ก็เดินเข้ามาทันที นำทางหมอเดินไปอีกทางหนึ่ง