บทที่ 7
ลู่เหิงจากไปแล้ว เรือนหลังเงียบสงบอีกครั้ง หลิงซีและหลิงหลวนออกไปครู่หนึ่ง ตอนกลับมายกชามยามาด้วย “แม่นาง ยามาแล้วเจ้าค่ะ”
สายตากระจ่างใสของหวังเหยียนชิงเลื่อนมองมา หลิงซีประหม่าโดยไม่รู้ตัว แต่นางคิดถึงคำสั่งของผู้บัญชาการเมื่อครู่จึงฝืนตั้งสติให้มั่นคง
ตอนนี้ลู่เหิงเพิ่งจะรับหน้าที่ดูแลกองเจิ้นฝู่ใต้ ในนอกมีคนจับจ้องเขาไม่น้อย เขาไม่มีเวลาอยู่ในเรือน ก่อนจากไปเขาได้ทิ้งคำพูดไว้ให้คนในเรือน เมื่อครู่หลิงซีและหลิงหลวนอ้างว่าไปต้มยาและจัดการตามคำสั่งของลู่เหิงเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งในนั้นมีข้อหนึ่ง นั่นคือต้องปรนนิบัติแม่นางหวังผู้เป็น ‘บุตรีบุญธรรมสกุลลู่’ อย่างไร
หวังเหยียนชิงเห็นยาแล้วนิ่งไม่ขยับ หลิงซีเห็นดังนั้นรีบเอ่ยทันที “บ่าวชิมมาก่อนหน้านี้แล้ว ยานี้ไม่มีปัญหาแน่นอน หากแม่นางไม่เชื่อ บ่าวจะทดสอบอีกครั้งตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
หลิงซีพูดพลางให้คนไปหยิบช้อน นางจะทดสอบยาต่อหน้าหวังเหยียนชิง หวังเหยียนชิงส่ายหน้าพลางยื่นมือไป “เอาชามมาให้ข้าเถอะ”
หลิงซีประหลาดใจ “แม่นาง…”
หวังเหยียนชิงพูด “พวกเจ้าเป็นสาวใช้ที่พี่รองส่งมา ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ข้าเชื่อพี่รอง”
หวังเหยียนชิงรับชามยาไป หยั่งความอุ่นร้อนของยาดูเล็กน้อย ไม่ผิดจากที่คิดยากำลังอุ่นพอดี หญิงสาวก้มหน้าดื่มยา แม้จะไม่เร็ว แต่กิริยายามตักยาขึ้นมามั่นคงเด็ดขาด ไม่ยึกยักชักช้าแม้แต่น้อย นางดื่มยาหนึ่งชามหมดอย่างรวดเร็ว หวังเหยียนชิงวางช้อนลงด้านข้าง หลิงซีก็รีบส่งผลไม้เชื่อมให้ หวังเหยียนชิงกลับโบกมือตอบ “ไม่เป็นไร”
หลิงซีและหลิงหลวนสบตากันต่างรู้สึกประหลาดใจ คุณหนูในเรือนคนใดบ้างที่ไม่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ปลายนิ้วถูกเข็มตำหนึ่งทีก็เจ็บจนน้ำตาร่วง แต่หวังเหยียนชิงกลับดื่มยาขมๆ รวดเดียวหมด ไม่เหมือนสตรีในหอห้องแม้แต่น้อย หลิงซีลองถามนาง “แม่นาง ท่านยังรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่”
หวังเหยียนชิงตกลงมาจากหน้าผาสูงถึงเพียงนั้นจะไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไร นางเจ็บระบมไปทุกส่วนของร่างกาย นางไม่มีความทรงจำ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าอาการเหล่านี้เป็นเพียงการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ไม่ถึงแก่ชีวิต สิ่งที่ร้ายแรงอย่างแท้จริงคือโลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะต่างหาก
หญิงสาวแตะหลังศีรษะเบาๆ หลิงซีเห็นดังนั้นก็ร้องห้าม “แม่นางอย่าใช้มือแตะ หมอบอกว่าโลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะท่านยังไม่สลายไป ช่วงนี้ห้ามเคลื่อนไหวโลดโผน อารมณ์ก็ต้องประคองให้มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณนั้นห้ามไปแตะต้องเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
หวังเหยียนชิงฟังคำสาวใช้แล้วชะงักการกระทำอย่างแข็งทื่อ หลังจากนั้นก็ไม่แตะต้องอีกจริงๆ ตอนนี้นางมีบาดแผล มิอาจเคลื่อนไหว มิอาจอ่านหนังสือ เพิ่งตื่นขึ้นมาจะให้นอนก็นอนไม่หลับ นางเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ สายตาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนไปยังสาวใช้เหล่านี้
หลิงซีและหลิงหลวนคิดถึงความแปลกประหลาดของหวังเหยียนชิงแล้วตัวเกร็งขึ้นมาทันใด โดยเฉพาะหลิงหลวน สีหน้าแข็งทื่อไปหมด หวังเหยียนชิงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าพวกนางกำลังประหม่า นางรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วจึงถามออกไป “เหตุใดพวกเจ้าจึงดูหวาดเกรงข้ามาก”
พี่รองบอกว่านางมาอยู่สกุลลู่ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ อาศัยอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว หากสาวใช้พวกนี้เป็นบ่าวสกุลลู่ เหตุใดจึงไม่คุ้นเคยกับนาง ทั้งยังมีท่าทีระมัดระวัง
หลิงซีและหลิงหลวนสบตากันปราดหนึ่ง หลิงหลวนก้มหน้า หลิงซีถอนหายใจ ยอบกายคำนับหวังเหยียนชิง “แม่นางกล่าวเช่นนี้พวกบ่าวรับไม่ไหวเจ้าค่ะ บ่าวเป็นใครกัน ไหนเลยจะคู่ควรออกคำสั่งบงการแม่นาง บ่าวแค่กลัวว่าตนเองจะปรนนิบัติได้ไม่ดีเท่านั้น”
หวังเหยียนชิงถาม “เป็นเพราะพี่รองหรือ”
หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้ว ทุกคนที่นี่ล้วนหวาดกลัวลู่เหิงมาก แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ลู่เหิงก็จากไปแล้ว เหตุใดพวกนางยังไม่กล้าผ่อนคลายอีก