ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 7-8
หลิงซีได้ยินหวังเหยียนชิงเรียกผู้บัญชาการว่า ‘พี่รอง’ ความรู้สึกในใจก็ซับซ้อนสุดประมาณ นางจดจำคำพูดของผู้บัญชาการได้อย่างแม่นยำจึงตอบว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ เป็นพวกบ่าวบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ได้ปรนนิบัติแม่นางให้ดี แม่นางถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางไปไหว้พระ ผู้บัญชาการโมโหอย่างยิ่ง ขายตัวสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยที่เคยปรนนิบัติแม่นางออกไปทั้งหมดและย้ายพวกบ่าวมาที่นี่แทน บ่าวกลัวตนเองปรนนิบัติได้ไม่ดี ดังนั้นจึงทำผิดบ่อยครั้ง ขอแม่นางโปรดอภัยด้วย”
คำพูดอาจไม่ตรงกับใจได้ สีหน้าสามารถเสแสร้งได้ แต่การเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อในจุดเล็กๆ หลอกคนไม่ได้ หวังเหยียนชิงเชี่ยวชาญการจับสังเกตสีหน้าอาการเล็กๆ น้อยๆ ของคนมาแต่กำเนิด อีกทั้งยังสามารถจับคู่สีหน้าท่าทีเหล่านั้นกับอารมณ์ได้ในพริบตา ความสามารถเช่นนี้เหมือนพรสวรรค์อย่างหนึ่งมากกว่า เหมือนที่คนบางคนเกิดมาความจำดีเยี่ยม เจนจัดสังคีต การที่หวังเหยียนชิงเชี่ยวชาญการจำแนกสีหน้าคนก็เป็นความสามารถที่ฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณของนางเฉกเดียวกัน
บัดนี้นางไร้ความทรงจำ ไม่ถูกความรู้ทั่วไปและความยึดมั่นผูกมัด พรสวรรค์เช่นนี้จึงยิ่งโดดเด่น การเสแสร้งต่อหน้ายอดฝีมือด้านการจับโกหกแต่กำเนิดอย่างหวังเหยียนชิงจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ มิสู้ไม่เสแสร้งแต่งเติมเรื่องจริงสักเล็กน้อยแล้วพูดออกไปดีกว่า
ดังนั้นลู่เหิงจึงเตรียมคำพูดนี้ไว้ให้หลิงซีและหลิงหลวน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกนางจึงไม่สนิทสนมกับหวังเหยียนชิง รวมถึงเหตุใดจึงลนลานถึงเพียงนั้นเมื่อทราบว่าหวังเหยียนชิงสูญเสียความทรงจำ
คำพูดนี้สอดคล้องกับนิสัยของลู่เหิง ทั้งอธิบายความผิดปกติที่หวังเหยียนชิงพบเจอตอนเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ หญิงสาวขบคิดครู่เดียวก็ยอมรับ ยาบำรุงที่หมอจ่ายให้มีเพิ่มยาช่วยการนอนหลับเข้าไปส่วนหนึ่ง หวังเหยียนชิงดื่มยาไปไม่นานก็ง่วงงุน นอนลงภายใต้การโน้มน้าวของเหล่าสาวใช้ หลิงซีและหลิงหลวนเห็นนางหลับสนิทแล้วก็ระบายลมหายใจยาว รีบออกไปจัดแต่งสถานที่
สกุลลู่มีเพียงลู่เหวินลู่เหิงสองพี่น้อง ไม่มีบุตรี เมื่อมารดาของลู่เหิงกลับบ้านเกิด จวนสกุลลู่ก็ว่างลง ปกติเงียบเหงามาก แต่บัดนี้จู่ๆ ก็มี ‘บุตรีบุญธรรม’ ที่อาศัยอยู่ที่นี่มาสิบปีโผล่มา ข้าวของที่ต้องจัดเตรียมมีไม่น้อยทีเดียว
การสร้างร่องรอยหลักฐานของที่พักที่คนผู้หนึ่งอาศัยอยู่มาสิบปี เรื่องพรรค์นี้มีแต่องครักษ์เสื้อแพรเท่านั้นที่ทำได้ หมอจ่ายยาแรงเพียงพอ หวังเหยียนชิงหลับยาวจนถึงยามโพล้เพล้ ระหว่างที่สาวใช้จวนสกุลลู่ยุ่งง่วนกับการสร้างสถานที่ ลู่เหิงอยู่ที่กองเจิ้นฝู่ใต้ก็พลิกหน้ากระดาษช้าๆ
กัวเทายืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้ามองสีหน้าของอีกฝ่าย เอ่ยอย่างลำบากใจ “ผู้บัญชาการ ข้าน้อยทำตามคำสั่งของท่าน ไม่ให้อาหารและน้ำดื่มพวกเขา ปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ทั้งวัน เมื่อครู่ข้าน้อยไปสอบปากคำ ถึงขั้นหยิบแส้ออกมาแล้ว พวกเขายังคงไม่ยอมพูด หากลงทัณฑ์แรงกว่านี้ นั่นย่อมมิใช่แค่พักฟื้นช่วงหนึ่งแล้วจะหายดีได้”
ความจริงตำแหน่งขุนนางในตอนนี้ของลู่เหิงคือผู้ช่วยผู้บัญชาการ เขาเพียงแต่ทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการชั่วคราวเท่านั้น แต่อยู่ในแวดวงขุนนาง ความสามารถในการประจบเจ้านายเช่นนี้จะขาดไปได้อย่างไร ทุกคนในกองเจิ้นฝู่ใต้ต่างเปลี่ยนมาเรียกขานลู่เหิงว่า ‘ผู้บัญชาการ’ กันถ้วนหน้า
ลู่เหิงทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรชั่วคราวในเดือนสิบเอ็ด หลังจากเข้ารับหน้าที่ในกองเจิ้นฝู่ใต้ ภารกิจแรกของเขาก็คือการสืบคดีจางหย่งและเซียวจิ้งติดสินบน
จางหย่งเป็นหนึ่งใน ‘แปดพยัคฆ์’* ที่ชื่อเสียงเป็นที่โจษขานในช่วงของฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ เซียวจิ้งแม้มิใช่แปดพยัคฆ์ แต่ก็เป็นขันทีที่มีอำนาจในสมัยฮ่องเต้เฉิงฮว่า ฮ่องเต้เซี่ยวจง* และฮ่องเต้เจิ้งเต๋อมากทีเดียว ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อให้อำนาจแก่ขันที ‘แปดพยัคฆ์’ เหิมเกริมในวัง ยึดอำนาจในราชสำนัก ฎีกามากมายล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา ภายหลังฮ่องเต้เจิ้งเต๋อประชวรและสวรรคต ฮ่องเต้จยาจิ้งขึ้นครองราชย์ แปดพยัคฆ์จึงถูกกวาดล้างในที่สุด ในจำนวนนั้นจางหย่งกลับลำในช่วงเวลาคับขัน สร้างความดีความชอบแก่ขุนนางฝ่ายพลเรือน จึงเคราะห์ดีรอดชีวิตมาได้ ภายหลังจางหย่งถูกลดตำแหน่งและส่งไปสุสานหลวงดูแลเรื่องการเซ่นไหว้ แม้ชีวิตที่เหลือจะมิอาจกุมอำนาจได้อีก แต่อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ รัชศกจยาจิ้งปีที่แปดจางหย่งป่วยตาย ราชสำนักยังอวยยศให้ครอบครัวและพี่น้องของเขา นับเป็นจุดจบที่ดีอันหาได้ยากยิ่งของขันที
เดิมทีทุกอย่างปกติดี แต่ปีนี้เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องการหารือจารีตใหญ่ เรื่องเก่าในอดีตจึงถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ตรวจสอบหลูชั่นร้องเรียนรองราชเลขาธิการจางจิ้งกงว่ายึดอำนาจรับสินบน จางจิ้งกงไม่ยอมแพ้ สั่งการให้พรรคพวกร้องเรียนอีกฝ่ายว่ารับสินบนจากจางหย่งและเซียวจิ้งทันที
ขุนนางในราชสำนักสมคบขันที นี่เป็นความผิดมหันต์ การจู่โจมของจางจิ้งกงก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ พรรคพวกฝ่ายต่างๆ ในราชสำนักต่อสู้กันอุตลุด มีคนเข้ามาพัวพันมากขึ้นทุกที ฎีการ้องเรียนปลิวขึ้นไปบนโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ดุจเกล็ดหิมะ ฮ่องเต้กริ้วมาก สั่งให้สืบเรื่องนี้อย่างจริงจัง องครักษ์เสื้อแพรไปคุมตัวคนถึงที่จวนทันที ขุนนางไม่น้อยพลอยติดร่างแหต้องเข้าคุกไปด้วย ในจำนวนนั้นย่อมมีขุนนางใหญ่ระดับสูง สำนักฮั่นหลินที่ได้ชื่อว่าเป็นอุทยานท้ายตำหนักของสภาขุนนาง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของปัญญาชนทั่วหล้าต้องรับเคราะห์หนักที่สุด