บัดนี้ใครทุจริตใครมิได้ทุจริต ใครสมคบขันที ใครถูกใส่ความล้วนให้ลู่เหิงเป็นคนสืบสวน หากลู่เหิงสืบคดีนี้ได้ดี การเปลี่ยนจากทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการเป็นผู้บัญชาการอย่างแท้จริงย่อมเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ผ่านวันที่ฮ่องเต้มีรับสั่งมาสิบวันแล้ว คดียังไม่มีความคืบหน้า ขุนนางฝ่ายพลเรือนพวกนั้นถือว่าองครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าทำอะไรพวกตน แต่ละคนปิดปากแน่นไม่ยอมพูด บางครั้งที่สารภาพออกมาบ้างล้วนเป็นคำพูดที่ไร้ประโยชน์ ลู่เหิงกวาดตาอ่านคำให้การโดยเร็ว บนนั้นไม่มีเบาะแสที่มีประโยชน์ใดๆ เขาคร้านจะอ่านต่อจึงโยนทิ้งไป
เรื่องเล็กๆ ในแวดวงขุนนางเช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่รู้ เบี้ยหวัดขุนนางของต้าหมิงเล็กน้อย ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารทั่วราชสำนักใครเล่าจะอาศัยเบี้ยหวัดนี้ดำรงชีพจริงๆ บั้นปลายชีวิตของจางหย่งเพื่อปกป้องตนเอง อีกฝ่ายได้มอบผลประโยชน์ให้ขุนนางมากอำนาจไม่น้อย ลู่เหิงกระจ่างแจ้งดี พวกคนที่ถูกจับเข้าคุก แต่ละคนล้วนเคยรับเงินจากจางหย่งทั้งสิ้น
เรื่องการรับสินบนมีอยู่ทั่วในราชสำนัก แต่ไม่มีใครที่จะยอมรับอย่างเปิดเผย องครักษ์เสื้อแพรจะสร้างผลงาน ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็ต้องการมุ่งไปสู่เส้นทางอนาคตของพวกเขาเช่นกัน ในคุกมีคนมากมายเป็นฝ่ายของราชเลขาธิการหยางอิ้งหนิง ตราบที่มีราชเลขาธิการอยู่ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล้าทำอะไรพวกเขา ขอเพียงพวกเขาไม่ยอมรับ ออกไปแล้วสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือหนทางอันราบรื่น ลาภยศสรรเสริญ แต่หากพวกเขายอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับจางหย่ง มิเพียงตนเองที่จะเคราะห์ร้าย ยังเดือดร้อนไปถึงอาจารย์และครอบครัวด้วย
พวกเขาหาได้โง่งมไม่ จะยอมทำการค้าขาดทุนเช่นนี้ได้อย่างไร
ลู่เหิงหยิบรายชื่อแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักลับ บนนั้นเป็นรายชื่อคนที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ด้านข้างบันทึกทรัพย์สินและสมบัติของพวกเขาไว้ ลู่เหิงกวาดตามองชื่อคนแถวแล้วแถวเล่า ทั้งที่เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้รับเงินไปเท่าใด แต่กลับไม่มีหลักฐาน
จางหย่งเคยเป็นขันที คุ้นเคยกับวิธีการขององครักษ์เสื้อแพร ตลอดจนวิธีการของสำนักบูรพาและสำนักประจิม* เป็นอย่างดี เขามอบของกำนัลอย่างสะอาดหมดจด อย่างน้อยภายนอกองครักษ์เสื้อแพรก็มิอาจหาหลักฐานได้ สายตาของลู่เหิงกวาดผ่านรายชื่อไปโดยไวจนกระทั่งถึงชื่อหนึ่ง ข้อนิ้วเขาเคาะลงบนนั้น แล้วเอ่ยว่า “รองเสนาบดีกรมพิธีการจ้าวไหวขี้ขลาดอ่อนแอ ไม่เอาไหนเป็นที่สุด ตกกลางคืนเมื่อเขาหลับไปให้ปลุกขึ้นมา พาออกมาสอบสวนเดี่ยว กักตัวเขาไว้สักครึ่งชั่วยามค่อยปล่อยกลับไป ทำเช่นนี้ซ้ำๆ จะต้องมั่นใจว่าตลอดทั้งคืนเขาไม่ได้ดื่มน้ำหรือกินข้าวสักเม็ด ไม่ได้หลับตาลงสักชั่วขณะ”
กัวเทาฟังแล้วตระหนก วิธีทรมานคนของผู้บัญชาการช่างเหนือชั้นโดยแท้ นี่ล่ะที่เรียกว่าอาวุธไม่เปื้อนเลือด ฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอย กัวเทากำลังจะรับคำก็พลันนึกขึ้นได้ว่าจ้าวไหวเป็นลูกศิษย์ของราชเลขาธิการหยางอิ้งหนิง ทั้งผู้บัญชาการยังพุ่งเป้าไปที่จ้าวไหวเพียงคนเดียว…
ลู่เหิงพูดจบเห็นกัวเทาไม่ขยับอยู่นาน ดวงตาจึงกลอกมองมานิ่งๆ กัวเทาเห็นสายตาของอีกฝ่าย ตกใจจนเหงื่อเย็นหลั่งเต็มตัวทันใด เขาไม่กล้าคิดมากอีก รีบค้อมศีรษะรับคำสั่ง “ข้าน้อยรับทราบ”
ลู่เหิงโยนรายชื่อกลับคืนที่เดิม ดูจากแรงที่ใช้แล้ว เขาไม่ชอบหน้าคนกลุ่มนี้มากทีเดียว ต้องประชันไหวพริบประลองปัญญากับตาแก่พวกนี้ทุกวัน ลู่เหิงรู้สึกว่าตนเองแก่เร็วเป็นพิเศษ เขาอารมณ์ไม่ดี อยากจะหาเรื่องจรรโลงใจสักหน่อยจึงเอ่ยถาม “ของที่ข้าต้องการล่ะ”
กัวเทาฟังแล้วอึ้งไป ผู้บัญชาการต้องการสิ่งใดเล่า นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นของลู่เหิงจ้องเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดูสุขุมใจเย็นเหมือนเสือเลี่ยเป้า* ที่จับจ้องฝูงแกะเล่นสนุกกันก่อนจะออกล่าชอบกล กัวเทานึกขึ้นได้ทันใด จึงตบหน้าผากตนเอง “อ้อ ใช่แล้ว ของที่ท่านผู้บัญชาการสั่งไว้ ข้าน้อยนำมาแล้วขอรับ”
กัวเทารีบหยิบสมุดที่รวบรวมรายละเอียดไว้เรียบร้อยออกมาจากแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะของลู่เหิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขอตัวจากไป รอจนในห้องคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ลู่เหิงค่อยหยิบสมุดบนโต๊ะขึ้นมาอย่างไม่เร็วไม่ช้าด้วยท่วงทีผ่อนคลาย