ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 7-8
สตรีคนหนึ่งจะมีความลับอะไรได้ องครักษ์เสื้อแพรใช้เวลาไม่นานก็สืบประวัติของหวังเหยียนชิงจนละเอียด ลู่เหิงเปิดดูทีละหน้า ยิ่งอ่านยิ่งประหลาดใจ
ดูไม่ออกเลยว่าสมัยเป็นเด็กนางเรียนรู้สิ่งต่างๆ มามากมายเพียงนี้ การฝึกยุทธ์มิใช่แค่ใช้ปากพูดก็ทำได้ ฤดูเหมันต์ต้องฝึกท่ามกลางความหนาวเหน็บ ฤดูคิมหันต์ต้องฝึกท่ามกลางความอบอ้าว นั่นเป็นการทรมานตนเองอย่างแท้จริง
ประวัติของหวังเหยียนชิงถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ตอนท้ายแทนที่จะเรียกว่าเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของนาง มิสู้เรียกว่าบันทึกการจับตาดูจวนเจิ้นหย่วนโหว ความจริงก็คือหวังเหยียนชิงเป็นเพียงบุตรีบุญธรรมคนหนึ่ง ในสายตาของทุกคนไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นสายสืบบันทึกทุกคำพูดและการกระทำของฟู่ถิงโจวอย่างมิรู้เบื่อ แต่ด้านข้างจดบันทึกเกี่ยวกับนางไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงถ้อยคำไม่กี่คำก็ดูออกว่าชีวิตของนางทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับฟู่ถิงโจว ลู่เหิงกวาดตาอ่านบทสนทนาระหว่างฟู่ถิงโจวกับหวังเหยียนชิงยามอยู่กันตามลำพัง อดแค่นเสียงมิได้
ลู่เหิงทางหนึ่งเหยียดหยันฟู่ถิงโจวที่ภายนอกดูองอาจผ่าเผย ยามอยู่ตามลำพังกลับเรียกนางว่า ‘ชิงชิง’ อีกทางหนึ่งก็ลอบอุทานในใจ เขาเผยพิรุธเสียแล้ว
มิน่าตอนเขาเรียกนางว่า ‘น้องหญิง’ สีหน้าของนางจึงดูคลางแคลง ที่แท้ปกติฟู่ถิงโจวไม่ได้เรียกนางว่า ‘น้องหญิง’ แต่เรียกว่า ‘ชิงชิง’
ลู่เหิงอ่านบันทึกเกี่ยวกับหวังเหยียนชิงจบแล้ว เขาใช้สมาธิเล็กน้อยก็จดจำได้ทั้งหมด งานขององครักษ์เสื้อแพรฝึกให้เขามีความจำอันเยี่ยมยอดชนิดที่เห็นผ่านตาครั้งเดียวก็ไม่ลืม ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง
เขาสามารถอยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานหลายปีเช่นนี้ มิใช่เพราะอาศัยว่าตนเองเป็นสหายวัยเยาว์กับฮ่องเต้เพียงอย่างเดียวแน่นอน ฮ่องเต้จยาจิ้งเป็นคนที่ปรนนิบัติเอาใจยากเป็นที่สุด คนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้เป็นเวลานาน แต่ละคนล้วนเป็นจิ้งจอกพันปีทั้งนั้น
ลู่เหิงคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในใจรู้สึกสนุกทีเดียว ต่อจากนี้ไปเขาจะต้องสวมบท ‘พี่ชาย’ เสียแล้ว เรื่องที่ฟู่ถิงโจวเคยทำ คำที่ฟู่ถิงโจวเคยพูดตลอดสิบปีที่ผ่านมาล้วนจะกลายเป็นของเขา
เรื่องของหวังเหยียนชิงเป็นเพียงความสนุกอย่างหนึ่งเท่านั้น ลู่เหิงโยนสมุดทิ้งไปโดยเร็ว หันไปจัดการกับเอกสารอื่นๆ ในกองเจิ้นฝู่ใต้ต่อ พอลงมือทำงานเขาก็ลืมเวลา กว่าจะได้สติอีกครั้งท้องฟ้าข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว
ค่ำคืนเหมันต์ท้องฟ้ามืดมิดอากาศหนาวเย็น ลู่เหิงออกจากกองเจิ้นฝู่ใต้ เดินทางกลับจวนพลางขบคิดเรื่องต่างๆ เมื่อเขาเข้าประตูมา บรรดาบ่าวรับใช้ต่างเดินตามไปอย่างรู้งาน บ้างจูงม้าบ้างวิ่งวุ่น ไม่มีใครกล้าส่งเสียงรบกวนความคิดของผู้บัญชาการ ลู่เหิงเดินไปด้านหลังตามความเคยชิน ตอนถึงเรือนหลัก เขาเห็นแสงไฟข้างในสว่างอยู่ก็พลันตกใจ
มีคนได้อย่างไร
บ่าวรับใช้เห็นลู่เหิงยืนนิ่งไม่ขยับก็รีบก้าวขึ้นมารายงาน “ผู้บัญชาการ แม่นางหวังยืนกรานจะรอท่านกลับมา พวกบ่าวเกลี้ยกล่อมหลายหนแล้ว แม่นางหวังก็ไม่ยอมกลับไปขอรับ”
นี่เป็นคำสั่งของลู่เหิงเมื่อตอนกลางวัน นับแต่นี้ไปทุกคนในจวนจะต้องเรียกหวังเหยียนชิงว่า ‘แม่นาง’ ปฏิบัติต่อนางเสมือนเป็นน้องสาวของเขา หากมีใครกล้าพลั้งปากจะถูกขายออกจากจวนทั้งครอบครัวทันที บริวารในจวนสกุลลู่ล้วนเป็นคนที่ติดตามมาจากอันลู่ คนแม้มีไม่มาก แต่ปากปิดสนิทไม่น่าเป็นห่วง ลู่เหิงกำชับเพียงคำเดียว พวกเขาก็ปฏิบัติตามลงไปเป็นทอดๆ
ลู่เหิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเก็บ ‘น้องสาวบุญธรรม’ คนหนึ่งกลับมา ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกจนใจ แต่ความระวังภัยโดยสัญชาตญาณในร่างกายค่อยๆ สลายไปแล้ว
เขาไปไหนมาไหนตามลำพังจนชิน จู่ๆ ก็มีคนรอเขากลับจวนเพิ่มมาหนึ่งคน ความรู้สึกนี้ไม่เลวทีเดียว
โลหิตที่คั่งอยู่หลังศีรษะของหวังเหยียนชิงยังไม่สลายไป ตามหลักแล้วนางไม่อาจเคลื่อนไหวมากนัก แต่นางยืนกรานจะรอลู่เหิงกลับมา จิตใต้สำนึกของนางบอกว่านี่เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ พี่รองยังไม่กลับ นางย่อมต้องรอเขา
หลิงซีและหลิงหลวนพยายามโน้มน้าวถึงสองหน แต่พบว่าหวังเหยียนชิงเห็นว่านี่เป็นเรื่องปกติ พวกนางจึงไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีก พูดมากผิดมากพูดน้อยผิดน้อย ขืนโน้มน้าวต่อไปจะต้องเผยพิรุธแน่ สองสาวใช้ได้แต่ปิดปาก
อย่างไรเสียหวังเหยียนชิงก็ยังเป็นคนป่วย รอจนถึงดึกย่อมอดมิได้ที่จะง่วงงุน ช่วงที่นางสะลึมสะลือกำลังจะหลับนั้นเอง พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างนอก หวังเหยียนชิงตาสว่างทันใด ลุกพรวดขึ้นมา “พี่รอง”
น้ำเสียงของนางดีอกดีใจ แต่เนื่องจากยืนเร็วเกินไปจนดึงรั้งบาดแผลที่หลังศีรษะ พอลุกขึ้นนางจึงรู้สึกหน้ามืดอย่างรุนแรง ลู่เหิงเข้าประตูมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี รีบเอ่ยว่า “เจ้าอย่ารีบร้อน ข้ากลับมาแล้ว ยังไม่รีบประคองแม่นางอีก”
หลิงซีและหลิงหลวนปราดเข้าไปอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ตอนที่หวังเหยียนชิงซวนเซ ประคองแขนนางไว้ หญิงสาวจึงไม่ล้มลงบนพื้น นางใช้มือยันศีรษะ ฝืนสะกดความวิงเวียนระลอกหนึ่งตรงหน้า จังหวะที่รู้สึกหัวหนักเท้าเบานั้นเอง มือเรียวยาวทรงพลังคู่หนึ่งก็จับแขนนางไว้ ร่างกายที่ไหวเอนของนางคล้ายหาหลักยึดได้ กลับลงสู่พื้นอย่างช้าๆ
ลู่เหิงพยุงนางนั่งลง เห็นใบหน้าซีดขาวของนางแล้ว น้ำเสียงก็เข้มขึ้นเล็กน้อย “ศีรษะเจ้ายังมีแผลอยู่ ขยับตัวมากไม่ได้ ไฉนยังซุ่มซ่ามไม่ระวังตัวเช่นนี้”
หวังเหยียนชิงพิงที่เท้าแขน ในที่สุดสายตาก็มองเห็นภาพเบื้องหน้า ใบหน้านางซีดขาวราวกระดาษ แต่ยังคงเอ่ยเสียงค่อย “ข้าอยากเห็นพี่รองเป็นคนแรก”
นางหายใจไม่ทัน เสียงจึงไร้เรี่ยวแรงฟังดูน่าสงสาร ลู่เหิงกวาดตามองอาหารด้านข้างที่อุ่นไว้ตลอด ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี “เจ้าได้รับบาดเจ็บก็ควรกลับไปพักผ่อนก่อน จะรอข้าด้วยเหตุใด คงมิใช่ว่าเจ้ายังไม่ได้กินข้าวกระมัง”
ลู่เหิงพูดพลางกวาดตามองหลิงซีกับหลิงหลวน สองสาวใช้ตระหนก รีบยอบกายลง หวังเหยียนชิงกดแขนลู่เหิงไว้ “พี่รอง ท่านอย่าตำหนิพวกนางเลย ข้าตื่นมาก็กินข้าวแล้ว เป็นข้าเองที่ยืนกรานจะรอท่านที่นี่”
หวังเหยียนชิงแบกรับเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง ทำเอาลู่เหิงไม่สะดวกจะอาละวาด เขามองดวงหน้านางที่เล็กจ้อยเท่าฝ่ามือ ทั้งที่ง่วงงุนยังคงฝืนถ่างตา เอ่ยอย่างจนใจ “กองเจิ้นฝู่ใต้ไม่เหมือนที่ทำการทั่วไป ข้าไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ที่นั่นมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ ข้าไม่มีทางอด ต่อไปเจ้าไม่ต้องรอข้าอีก”
“พวกเขาคือพวกเขา ส่วนข้าคือข้า พวกเราทำเช่นนี้มาโดยตลอด” หวังเหยียนชิงพูดจบ พึมพำเสียงแผ่ว “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ หากข้าไม่รอท่าน ตอนกลางคืนท่านก็คร้านจะกินข้าว”
ถูกของนาง ลู่เหิงคิดอย่างนี้จริงๆ กลับมาดึกดื่น ทั้งหนาวทั้งมืด ไหนเลยจะมีแก่ใจกินข้าว แต่เด็กโง่ผู้นี้กลับรอเขาอยู่ตลอด หากคืนนี้เขาไม่กลับมา นางมิต้องรอตลอดทั้งคืนหรือ
อีกทั้งฟังจากที่นางพูด ตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางเฝ้ารอฟู่ถิงโจวเช่นนี้มาโดยตลอด ลู่เหิงคิดในใจ ฟู่ถิงโจวช่างโชคดีจริงๆ วันนั้นธนูยิงถูกเขาแค่ดอกเดียว กำไรเขาเสียแล้ว
ลู่เหิงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว เดิมทีเขาคิดว่าไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนมีคนรอเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่ง เขาชิงชังความรู้สึกของการถูกผูกมัดเช่นนั้น แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าบางทีเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกนี้ก็จะมีสถานที่หนึ่งจุดโคมไฟไว้รอเขากลับบ้านมากินข้าว ช่างชวนให้คนสบายใจเหลือเกิน แม้คนที่นางรอคนนั้นความจริงแล้วจะไม่ใช่เขาก็ตาม
คิดถึงตรงนี้มือของลู่เหิงก็ชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับเป็นปกติโดยเร็ว เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม กุมมือขาวเนียนนุ่มนิ่มของหญิงสาว ถามเสียงอ่อนโยนเหมือนพี่ชายที่แสนดีที่สุดในโลก “ชิงชิง ตอนนี้เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง”