ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 7-8
บทที่ 8
ยามคำว่า ‘ชิงชิง’ ออกจากปากผู้บัญชาการ หัวใจของบ่าวในห้องก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ หวังเหยียนชิงนั่งหันหลังให้สองสาวใช้จึงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของพวกนาง หาไม่แล้วหญิงสาวจะต้องตระหนักได้แน่ว่า ‘พี่ชาย’ ของตนไม่ปกติ
ทว่าหวังเหยียนชิงมองไม่เห็น นางจมอยู่กับแววตาอมยิ้มอ่อนโยนของลู่เหิง ความระแวดระวังรอบกายละลายหายไปทีละนิด “ข้าดีขึ้นมากแล้ว พี่รอง ท่านอยู่ในกองเจิ้นฝู่ตั้งนานกว่าจะกลับมา คงหิวแล้วกระมัง ข้าเตรียมข้าวปลาอาหารไว้ให้ท่าน แต่ข้าจำไม่ได้ว่าท่านชอบอะไร จึงได้แต่สั่งอาหารที่ข้ากินไปเมื่อตอนหัวค่ำและรู้สึกว่าไม่เลวมาชุดหนึ่ง”
งานที่ลู่เหิงทำดำมืด เขากลัวยิ่งนักว่าผู้อื่นจะวางยาพิษเขา ดังนั้นแม้แต่พ่อครัวจวนสกุลลู่ก็ไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร หวังเหยียนชิงถามแล้วไม่ได้คำตอบ ได้แต่เตรียมอาหารค่ำให้ลู่เหิงตามความชอบของตนเอง
ลู่เหิงมองไปยังโต๊ะแปดเซียน* ไม้แดงลายอักษรหุย* บนนั้นมีกับข้าวหลายอย่าง เนื้อผักน้ำแกงครบครัน ด้านล่างของกล่องใส่อาหารมีชั้นเก็บความร้อน เมื่อผ่านไปพักหนึ่งสาวใช้จะเปลี่ยนน้ำร้อนใหม่ ดังนั้นต่อให้วางทิ้งไว้ถึงตอนนี้อาหารก็ไม่เย็นชืด
ลู่เหิงหันกลับมา พบว่าหวังเหยียนชิงกำลังมองตนอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวเขาจะไม่พอใจ ลู่เหิงหัวเราะ อยากลูบศีรษะนาง แต่นึกขึ้นได้ว่าศีรษะนางยังมีแผลจึงหดมือกลับไป “ข้าบอกแล้ว เจ้าอยู่ในจวนสกุลลู่อยากทำสิ่งใดล้วนได้ทั้งนั้น ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง กล้าๆ กลัวๆ อาหารพวกนี้เป็นของโปรดข้าพอดี แต่ดึกแล้ว ข้าไม่ค่อยหิว…”
หลิงซีและหลิงหลวนข้างหลังก้มศีรษะ ดวงตาไม่มีแววประหลาดใจแม้แต่น้อย นี่อย่างไร พวกนางว่าแล้ว ผู้บัญชาการไม่มีทางแตะต้อง
กระนั้นหลิงซีเพิ่งจะคิดเช่นนี้กลับได้ยินลู่เหิงเปลี่ยนใจ ยิ้มพูด “เว้นแต่ชิงชิงจะกินเป็นเพื่อนข้า”
หลิงซีมุมปากกระตุกเกือบรักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ หลิงซีและหลิงหลวนผ่านการฝึกฝนเฉพาะทางมา ต่อให้ตกใจเพียงใดก็ไม่มีทางเงยหน้ามอง ดวงตาของลู่เหิงเปล่งประกายดุจริ้วคลื่นที่ล่อลวงใจคน โดยเฉพาะยามที่เขาจับจ้องมองใครก็แทบจะทำให้คนผู้นั้นจมน้ำตายได้ หวังเหยียนชิงหน้าแดง เคราะห์ดีที่ไม่มีใครมองมาทางนี้ นางลอบโล่งอก พยักหน้านิดๆ “ได้”
หวังเหยียนชิงขยับตัวมากเกินไปไม่ได้ ลู่เหิงจึงประคองนางลุกขึ้นช้าๆ เดินไปยังโต๊ะกินข้าว สาวใช้ก้าวขึ้นมายกกล่องใส่อาหารออกไป หวังเหยียนชิงเปิดโถกระเบื้อง ตักน้ำแกงอย่างแคล่วคล่อง “พี่รอง ท่านเพิ่งกลับมา ดื่มน้ำแกงร้อนสักคำอบอุ่นร่างกายก่อนเถิด”
ลู่เหิงยิ้มรับน้ำแกงปลาที่นางส่งให้ ดวงตากลับสังเกตนางอย่างแนบเนียน นางไม่เหลือความทรงจำ แต่ความสามารถในการชีวิตประจำวันยังคงอยู่ ดูจากท่วงท่าในการตักน้ำแกงและยื่นชามให้เขา เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนคงทำจนชิน คนที่นางห่วงใยผู้นั้นเป็นใครไม่บอกก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าการแสดงออกของหวังเหยียนชิงกลับแตกต่างจากบันทึกในเรื่องที่สืบมาอยู่บ้าง
ลู่เหิงกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ รสชาติค่อนไปทางหวานและจืด เนื้อบนโต๊ะมีแต่เนื้อสีขาว แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่เขียนในบันทึกว่า ‘ชื่นชอบรสเค็มรสเผ็ด ชอบกินเนื้อแพะ’
ลู่เหิงตักน้ำแกงปลาใส่ปากช้าๆ และเอ่ยถาม “ชิงชิง เจ้าได้รับบาดเจ็บ หมอกำชับให้ใส่ใจเรื่องอาหารเป็นพิเศษ เนื้อแพะบำรุงร่างกายได้ดีที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้พวกเขาส่งแพะเหลือง มาจำนวนหนึ่งดีหรือไม่”
หัวคิ้วของหญิงสาวมุ่นน้อยๆ ถามกลับ “พี่รองจะกินหรือ”
ลู่เหิงยิ้มส่ายหน้า “เปล่า ส่งมาเท่าใดล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็อย่าเลย” หวังเหยียนชิงก้มหน้าคนช้อน “ข้าไม่ชอบกลิ่นสาบของเนื้อแพะ”
ลู่เหิงแน่ใจแล้ว รสเค็มรสเผ็ดและเนื้อแพะล้วนมิใช่รสชาติที่หวังเหยียนชิงชอบ แต่เป็นของฟู่ถิงโจวต่างหาก เพื่อคล้อยตามฟู่ถิงโจว นางถึงได้บอกว่าตนเองชอบของพวกนี้
ลู่เหิงแค่นเสียงในใจด้วยความรังเกียจ เขาเริ่มสงสัยในความถูกต้องของข่าวที่สืบมาได้เล่มนั้น เห็นทีการท่องจำเรื่องของนางมิได้หมายความว่าจะปลอดภัย รายละเอียดที่ลงลึกกว่านั้นยังคงต้องอาศัยเขาสังเกตด้วยตนเอง
ลู่เหิงมองหญิงสาวก้มหน้าคนน้ำแกง หัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ตบมือนางพลางพูด “ไม่ชอบก็ไม่ชอบสิ มีกลิ่นสาบเป็นความผิดของแพะ เจ้าจะหดหู่ไปไย”
หวังเหยียนชิงอดหัวเราะไม่ได้ เงยหน้าขึงตาใส่เขาอย่างจนใจ “ท่านจะกินเนื้อของผู้อื่นกลับโทษว่าผู้อื่นมีกลิ่นสาบ มีเหตุผลเช่นนี้ที่ใดกัน”
“พวกมันทำให้ชิงชิงไม่พอใจ พวกมันย่อมต้องเป็นฝ่ายผิด” ลู่เหิงชี้แจงเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นของตนอย่างเปิดเผย มิได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิด เขาคิดในใจ ฟู่ถิงโจวผู้นี้ช่างน่าสะอิดสะเอียนโดยแท้ แต่คำว่า ‘ชิงชิง’ เมื่อเรียกบ่อยเข้ายังคงคล่องปากทีเดียว
เมื่อก่อนเวลาลู่เหิงกินข้าวมักจะเงียบงันและระแวดระวัง เนื่องจากแต่ละคำล้วนต้องกังวลว่าจะมีพิษหรือไม่ การกินอาหารสำหรับเขาจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการดื่มด่ำกับความสุขโดยสิ้นเชิง วันนี้มีหวังเหยียนชิงกินเป็นเพื่อน ระหว่างพูดคุยหัวเราะก็กินไปไม่น้อย
อาหารที่หวังเหยียนชิงเตรียมมารสอ่อนย่อยง่าย หลังจากอาหารร้อนๆ เข้าสู่กระเพาะ ความร้อนก็แผ่มาจากในร่างกาย คดีที่ชวนให้คนปวดหัวเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เมื่อตอนหัวค่ำหวังเหยียนชิงกินข้าวไปแล้ว ตอนนี้แค่นั่งกินเป็นเพื่อนลู่เหิงเท่านั้น พอลู่เหิงวางตะเกียบ นางก็วางตะเกียบลงด้วย หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก
เหล่าสาวใช้เดินเข้ามาเก็บจานชามออกไปอย่างเบาไม้เบามือ หวังเหยียนชิงรินน้ำชาให้ลู่เหิง วางลงข้างมือเขาอย่างแผ่วเบา ถามหยั่งเชิง “พี่รอง ท่านพบเจอปัญหาที่จัดการได้ยากหรือ”
ลู่เหิงดึงสติกลับมา พบว่าตนคิดถึงคดีโดยไม่รู้ตัว เขาเปิดฝาถ้วย เกลี่ยฟองชาช้าๆ ไอร้อนขมุกขมัวก็ลอยอยู่ตรงคิ้วตาของเขา ชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้อ่านความคิดที่แท้จริงไม่ออก
ลู่เหิงมองประเมินหญิงสาวผ่านไอน้ำ เขาพบว่าหวังเหยียนชิงแยกแยะสีหน้าท่าทีได้ไวมาก แม้แต่เรื่องในใจเขานางยังดูออก เดิมทีเขาคิดว่านางอาศัยชายคาผู้อื่นอยู่จึงฝึกฝนความเคยชินในการฟังน้ำเสียงสังเกตสีหน้าผู้อื่นได้ตั้งแต่เล็ก ทว่าบัดนี้ดูแล้วนี่กลับเหมือนสัญชาตญาณอันเฉียบไวที่มีอยู่ตามธรรมชาติของนางมากกว่า
ความรู้สึกไวแต่กำเนิด ประกอบกับการฝึกฝนในภายหลังจึงทำให้นางมี ‘วิชาอ่านใจ’ ที่เกือบจะเรียกได้ว่าแปลกพิลึก ประสบการณ์ชีวิตในอดีตสอนนางว่าต้องปกปิดความแตกต่างของตนเอง ดังนั้นนางจึงจงใจเก็บงำ ยามอยู่ในเรือนหลังดูไม่โดดเด่น คนนอกอย่างมากก็แค่รู้สึกว่านางตอบสนองไวเท่านั้น แต่บัดนี้นางสูญเสียความทรงจำ กระทำเรื่องต่างๆ อย่างซื่อตรงไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อย ทว่าวาจากลับสร้างความตกใจให้ผู้อื่นบ่อยครั้ง พรสวรรค์อันน่าตระหนกเช่นนี้จึงเด่นชัดขึ้นมา