บทที่ 9
แววตาของลู่เหิงจริงใจและเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น หวังเหยียนชิงคล้ายถูกล่อลวงกระนั้น อยากตอบตกลงโดยไม่รู้ตัว นางชะงักครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ท่านอยากให้ข้าทำอะไรหรือ”
ลู่เหิงคลี่ยิ้ม กดมือนางอย่างสนิทสนม ปลอบโยนว่า “ไม่ต้องตกใจ แค่ให้เจ้าช่วยข้าสังเกตคนไม่กี่คนเท่านั้น ดูว่าพวกเขาโกหกหรือไม่ คดีที่ผู้บัญชาการสูงสุดเฉินสรุปไปแล้ว หากข้าคิดจะพลิกคดีจำต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เจ้ายินดีตามข้าไปเป่าติ้ง เดินทางไปจวนสกุลเหลียงด้วยตนเองสักครั้งหรือไม่”
ครานี้หวังเหยียนชิงตกตะลึงอย่างแท้จริง นางแค่สูญเสียความทรงจำเท่านั้น หาได้โง่งมไม่ นางย่อมตระหนักอยู่แล้วว่าลู่เหิงกำลังชักจูงนาง นางคิดว่าเขาจะใช้ความสามารถของนางไปทำการใหญ่อะไรเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่ากลับนำมาใช้กับคดีนี้
หวังเหยียนชิงจ้องตาชายหนุ่มตรงๆ เอ่ยอย่างสัตย์จริง “ข้ายังคิดว่าท่านคงไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เสียอีก”
ลู่เหิงมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ซึ่งมีอำนาจในการทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการ ในนครหลวงนับเป็นคนดังที่มีชื่อเสียง คดีลักลอบพบบุรุษของหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งไม่มีทางส่งมาถึงมือเขา คดีนี้เขาไม่ใช่คนตัดสิน ทั้งมิได้เป็นคนสอบสวน เดิมทีเขาไม่มีความจำเป็นต้องขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาของตนเองเพราะบุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
สองตาของหวังเหยียนชิงกระจ่างใสบริสุทธิ์ มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงก้นบึ้ง ลู่เหิงมองตานาง ตระหนักว่านางคงเข้าใจอะไรผิดเสียแล้ว จึงยิ้มพลางพูด “ข้ามิได้สูงส่งเช่นที่เจ้าคิด เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้า แต่ไรมาข้าคร้านที่จะสนใจ เพียงแต่ข้าบังเอิญเห็นคดีนี้เข้า ทั้งพิรุธยังชัดเจนจริงๆ การปล่อยให้คนโง่พรรค์นี้สมใจหมายเป็นการดูหมิ่นองครักษ์เสื้อแพร ดังนั้นข้าจึงคิดมากอยู่สองวัน ชิงชิง เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ ในเมื่อเจ้าล่วงรู้เจตนาของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่าเจ้ายินดีช่วยข้าหรือไม่”
หวังเหยียนชิงถอนใจเบาๆ “ท่านเป็นพี่รองของข้า ไม่ว่าท่านจะช่วยบุตรีสกุลเหลียงพลิกคดีด้วยเจตนาใด ขอเพียงท่านยินดีทำ นั่นก็เพียงพอแล้ว ท่านบอกให้ข้าพูดตรงๆ ต่อหน้าท่าน เฉกเช่นเดียวกันท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายจุดมุ่งหมายของท่านกับข้า ข้าเชื่อท่าน”
“เพราะเหตุใด” ลู่เหิงเลิกคิ้ว นัยน์ตาซ่อนแววสำรวจตรวจตราไว้ขณะมองนางอย่างลึกซึ้ง “เพียงเพราะข้าเป็นพี่รองของเจ้าหรือ”
“ในเมื่อข้าเลือกที่จะเชื่อท่านก็ยินดียอมรับนิสัยใจคอของท่านทั้งหมด” หวังเหยียนชิงพูดพลางจงใจขยิบตา ยิ้มพลางเอ่ย “ตอนแรกใครให้พวกท่านเป็นคนพาข้ากลับบ้านเล่า”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าเขา หวังเหยียนชิงก็รู้ว่าคนผู้นี้จิตใจชั่วร้าย อุบายลึกล้ำ ไม่เคยแสดงความปรารถนาดีกับผู้ใดโดยไม่หวังผล เขามอบให้หนึ่งจะต้องเรียกคืนกลับไปสิบ รวมถึงคืนนี้ที่จู่ๆ เขาก็เล่าคดีสกุลเหลียงให้นางฟัง เบื้องหลังย่อมมีจุดประสงค์ ทว่าหวังเหยียนชิงเต็มใจเป็นมีดในมือเขา
นี่คือบุคคลที่แม้นางจะสูญเสียความทรงจำก็ยังมิอาจลืมเลือน นางจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร
หวังเหยียนชิงไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป จึงจงใจพูดเล่นเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ แต่ลู่เหิงเพียงยกริมฝีปากยิ้มเท่านั้น ดูแล้วไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด ลู่เหิงแค่นเสียงในใจ เขาไม่ควรเอ่ยถามคำถามนั้นเลย ควรหยุดตั้งแต่ตอนที่นางบอกว่าเชื่อเขา ให้ทุกอย่างหยุดอยู่ในห้วงมายาอันงดงาม เปี่ยมความรู้สึกอันลึกซึ้งไม่ดีหรือไร ไยต้องถามให้กระจ่างแจ้งด้วย ทำให้คนหมดอารมณ์เปล่าๆ
ลู่เหิงไม่ปล่อยให้อารมณ์ขุ่นมัวแสดงออกมาทางสีหน้า เขายิ้มแล้วพูดต่อ “ชิงชิงยินดีช่วยเหลือข้าย่อมวิเศษที่สุด รอให้บาดแผลเจ้าหายดีกว่านี้หน่อย ข้าจะเตรียมพาเจ้าไปเป่าติ้ง ดูว่าสกุลเหลียงเล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่ ทว่าก่อนที่จะหาหลักฐานได้เรื่องนี้ไม่สะดวกจะป่าวประกาศ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเปลี่ยนฐานะเสียหน่อย ออกจากเมืองในฐานะพี่น้องธรรมดาทั่วไปคู่หนึ่ง ชิงชิง อาจต้องให้เจ้าลำบากสักหน่อยแล้ว”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร หน้าที่การงานของพี่รองสำคัญที่สุด ข้าลำบากเล็กน้อยจะเป็นไรไป”
ยิ่งนางพูดเช่นนี้ในใจลู่เหิงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ความอ่อนโยนเอาใจใส่ ความจริงใจ และความไว้วางใจทั้งหมดของนางล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเขาเป็น ‘พี่ชายบุญธรรม’ ของนาง สิ่งที่ตานางมองเห็นในตอนนี้ แท้จริงแล้วเป็นบุรุษอีกคนหนึ่ง
ริมฝีปากของลู่เหิงแต้มยิ้ม ลูบผมนางอย่างชิดใกล้ “ได้ แต่การเดินทางออกจากนครหลวงข้าต้องแจ้งทางวังหลวงก่อน เจ้าพักฟื้นอยู่จวนไปก่อน เรื่องการออกเดินทางไม่ต้องเป็นกังวล ทุกอย่างข้าจะจัดการเอง ไว้ออกเดินทางเมื่อไรข้าจะส่งคนมารับเจ้า”
หวังเหยียนชิงไม่มีข้อโต้แย้งใด นางพยักหน้ารับคำ ว่าง่ายยิ่งนัก