ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 9
ลู่เหิงแม้ปากบอกว่า ‘ไม่รีบ’ แต่วันถัดมาหลังเลิกประชุมขุนนาง เขาก็ตรงดิ่งไปหาฮ่องเต้ องครักษ์เสื้อแพรสามารถเข้าเฝ้าได้ทันที ขันทีพอเห็นว่าเป็นลู่เหิงก็ไม่กล้าขวาง ประสานมือด้วยท่าทีประจบ “คารวะใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่มีเรื่องจะกราบทูลฝ่าบาทหรือ”
“ใช่” ลู่เหิงยิ้มพยักหน้า “รบกวนกงกงช่วยไปรายงานที”
“มิกล้า” ขันทีตอบคำหนึ่ง แล้วเข้าไปกราบทูลข้างใน
ไม่นานจางจั่วข้างกายฮ่องเต้ก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เอ่ยกับเขา “ใต้เท้าลู่ เชิญด้านในขอรับ”
ลู่เหิงทักทายจางจั่วแล้วก้าวเข้าไปในตำหนักด้วยฝีเท้ามั่นคง ในวังเฉียนชิง ฮ่องเต้กำลังนั่งสมาธิบนตั่ง ลู่เหิงถวายคำนับ “กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”
ฮ่องเต้รับคำ ยังคงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิดังเดิม ลู่เหิงสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้พลางเอ่ย “วันนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดียิ่ง พระพักตร์มีเลือดฝาด พระปัสสาสะมั่นคงสม่ำเสมอ เห็นทีโอสถเซียนจะมีสรรพคุณไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าท่าทีของฮ่องเต้เรียบเฉยมาตลอด ครั้นฟังถึงตรงนี้ในที่สุดใบหน้าก็ผลิยิ้ม เอ่ยอย่างกระหยิ่มใจทีเดียว “เจ้าก็ดูออกเหมือนกันหรือ เราใช้โอสถนี้แล้วรู้สึกร่างกายเบาสบายขึ้นมาก ตื่นมาตอนเช้าก็ไม่ใจสั่นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว การตั้งแท่นบวงสรวงที่เซ่าเทียนซือ* บอกได้ผลจริงๆ”
ลู่เหิงสนทนาหลักเต๋ากับฮ่องเต้พักหนึ่ง ฮ่องเต้อารมณ์ดีแล้วจึงเอ่ยถาม “เจ้ามาวันนี้มีเรื่องใด”
ลู่เหิงตอบ “ฝ่าบาท หลายวันก่อนกระหม่อมได้รับคดีหนึ่งมา ไตร่ตรองซ้ำไปมาแล้วรู้สึกมีข้อกังขา จึงอยากออกจากเมืองไปดูด้วยตนเองสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กับลู่เหิงเป็นคนที่รู้จักกันมาสิบปี คำพูดคำจาจึงค่อนข้างเป็นกันเอง ฮ่องเต้ถาม “คดีใด”
ลู่เหิงจึงเล่าคดีที่ภรรยาคนที่สองของเหลียงเว่ยฟ้องบุตรสาวคนโตว่าลักลอบพบบุรุษให้ฮ่องเต้ฟัง สุดท้ายลู่เหิงเอ่ยว่า “แม่นางน้อยอายุสิบหกคนหนึ่งลักลอบพบบุรุษในระหว่างการไว้ทุกข์ให้บิดา ขัดต่อหลักปฏิบัติทั่วไปจริงๆ ทว่าต่อให้เรื่องนี้เป็นความจริง ชายหญิงรักใคร่ก็เป็นเรื่องปกติ โทษไม่ถึงตาย การตัดสินโทษตายให้บุตรีสกุลเหลียงเช่นนี้ออกจะรุนแรงเกินไปหน่อย”
ฮ่องเต้เดินทางมานครหลวงและขึ้นครองราชย์ตอนอายุสิบสี่ แรกเริ่มอาจเพราะไม่ชินกับดินน้ำอากาศ จึงเจ็บป่วยอยู่หลายปี เกือบไม่รอดชีวิตหลายครั้ง ช่วงเวลานั้นในวังต่างคิดว่าฮ่องเต้คงอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี ภายหลังมีนักพรตเข้ามาในนครหลวง ค่อยๆ บำรุงร่างกายให้ฮ่องเต้ เขาจึงแข็งแรงขึ้นตามลำดับ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยังคงหายใจหอบและไออยู่เสมอ ร่างกายอ่อนแอเต็มไปด้วยโรค มิอาจเทียบกับลู่เหิงที่ร่างกายเปี่ยมด้วยกำลังวังชา สามารถเดินทางไปทั่วเช่นนี้ได้
หมอหลวงรักษาอยู่นานถึงเพียงนั้นยังรักษาไม่หาย นักพรตกลับสามารถทำได้ พวกเขาช่วยชีวิตฮ่องเต้กลับมาได้ อีกทั้งด้วยการบำรุงและปรับสมดุลร่างกายของนักพรต ร่างกายของฮ่องเต้จึงดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่เชื่อหมอหลวง ไม่เชื่อในพระพุทธองค์ ศรัทธาเพียงศาสนาเต๋า
ศาสนาเต๋าไม่เหมือนศาสนาพุทธที่สอนให้คนระงับกิเลส แต่เน้นความใจกว้าง คุณธรรม และอินหยางที่สมดุล ฮ่องเต้ใคร่ครวญดูแล้วก็เห็นด้วย สตรีเมื่อถึงวัย จิตใจหวั่นไหวเป็นเรื่องธรรมชาติ ไหนเลยต้องถึงขั้นเข่นฆ่าสังหาร ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าเห็นว่ามีข้อกังขา เช่นนั้นก็ไปตรวจสอบดูเถอะ”
ลู่เหิงค้อมศีรษะรับคำ ประกายสีเข้มวาบผ่านดวงตาไปโดยเร็ว เขาไม่เอ่ยถึง ‘เฉินอิ๋น’ แม้แต่คำเดียว แต่กลับฟ้องเฉินอิ๋นไปเสียแล้ว ฮ่องเต้เป็นคนฉลาด หลังจากนี้พระองค์ต้องสืบคดีนี้แน่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จากนั้นย่อมต้องรู้ว่าเฉินอิ๋นสรุปคดีนี้แล้ว กระทั่งเจตนาที่ลู่เหิงอ้อมข้ามเฉินอิ๋นนำเรื่องนี้มากราบทูล ฮ่องเต้ก็น่าจะคาดเดาได้
นี่คือหลักการอยู่ร่วมกันระหว่างลู่เหิงกับฮ่องเต้ การรับมือกับคนฉลาดคนหนึ่ง อย่าได้พยายามที่จะบงการเขา ลู่เหิงเปิดเผยเจตนาของตนกับฮ่องเต้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้ก็มองทะลุความคิดในจิตใจของเขา ทั้งยังยินดีที่จะยอมรับ
จะว่าไปมนุษย์เราเดินขึ้นที่สูง สายน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ กับความปรารถนาที่มาจากสันดานเดิมของมนุษย์เหล่านี้ ฮ่องเต้ล้วนสามารถยอมรับได้ สิ่งที่เขามิอาจยอมรับได้อย่างแท้จริงคือการหลอกลวง
ลู่เหิงบรรลุเป้าหมายแล้ว ขณะกำลังจะขอตัวก็พลันได้ยินฮ่องเต้ถาม “คดีจางหย่งกับเซียวจิ้งสืบได้ความอย่างไรแล้วบ้าง”
ลู่เหิงสะดุ้งในใจเล็กน้อย ตอบว่า “กระหม่อมกำลังสืบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้น แต่ลู่เหิงกลับรู้ว่าฮ่องเต้หมดความอดทนแล้ว
อย่างช้าที่สุดครึ่งเดือน ฮ่องเต้จะต้องได้คำตอบ
ลู่เหิงถวายคำนับแล้วถอยออกจากตำหนัก เขาเดินออกจากประตูเฉียนชิง เร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ ตอนเดินถึงประตูจั่วซุ่น เขาปะทะกับคนผู้หนึ่งอย่างจัง
สายตาของสองคนประสานกัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกพบเจอสิ่งอัปมงคลเข้า แต่ในเวลาอันรวดเร็วลู่เหิงก็เผยรอยยิ้มจางๆ เหมือนยามปกติ เอ่ยทัก “เจิ้นหย่วนโหว”
ฟู่ถิงโจวผงกศีรษะให้อีกฝ่าย แววตาลึกล้ำ ฟังให้ดีน้ำเสียงที่พูดยังเจือแววขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย “ผู้ช่วยผู้บัญชาการลู่”
ตอนนี้ลู่เหิงปฏิบัติหน้าที่แทนผู้บัญชาการ คนที่ให้เกียรติเขาทั้งในและนอกนครหลวงต่างเรียกเขาว่า ‘ผู้บัญชาการลู่’ เห็นได้ชัดว่าฟู่ถิงโจวนับเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่ไว้หน้าเขา
ลู่เหิงได้ยินคำเรียกขานของฟู่ถิงโจวแล้วหาได้โกรธไม่ รอยยิ้มกลับหยักลึกกว่าเดิม ดวงตากวาดผ่านร่างของฟู่ถิงโจวไป มองแขนเขาด้วยสายตาคลุมเครือ “กองเจิ้นฝู่ใต้ยังมีงาน ข้าขอตัวก่อน วันหน้าค่อยรำลึกความหลังกับเจิ้นหย่วนโหวใหม่”
ฟู่ถิงโจวจ้องเขาอย่างเย็นชา แววตาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง ลู่เหิงเผชิญกับสายตาเช่นนี้กลับไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย เขายิ้มพยักหน้าให้ฟู่ถิงโจว ทำท่าจะจากไปจริงๆ ทว่าลู่เหิงเดินไปได้สองก้าว ฟู่ถิงโจวกลับอดรนทนไม่ไหว หันกลับไปร้องเรียก “ใต้เท้าลู่”
ลู่เหิงชะงัก มิได้หันกลับมา เพียงเอ่ยอย่างเนิบช้า “มิกล้าน้อมรับคำว่า ‘ใต้เท้า’ ของเจิ้นหย่วนโหว ไม่ทราบว่าเจิ้นหย่วนโหวยังมีธุระใดอีกหรือ”