“เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้สุราชั้นดีมา อยากเชิญใต้เท้าลู่ไปลิ้มรส น่าเสียดายใต้เท้าลู่ประหนึ่งมังกรเทพที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ไม่ทราบว่าหมู่นี้ใต้เท้าลู่มัวยุ่งกับเรื่องใดอยู่หรือ”
ลู่เหิงยิ้มๆ เบี่ยงตัวกลับมาครึ่งหนึ่ง มองไปยังคนข้างหลัง แสงอาทิตย์เจิดจรัสเยียบเย็นในพระราชวังส่องสะท้อนนัยน์ตาเขา ขับเน้นให้ดวงตาสีอำพันคู่นั้นทอประกายดุจสายธาร ริ้วคลื่นกระเพื่อมไหว มองสีหน้าที่แท้จริงไม่ออก
ลู่เหิงปั้นยิ้มน้อยๆ อย่างงดงามไร้ที่ติ ตอบว่า “ข้ายุ่งอยู่กับเรื่องใด เจิ้นหย่วนโหวน่าจะรู้ดี”
ฟู่ถิงโจวกำหมัดแน่น เส้นเลือดสีเขียวบนแขนปูดนูนทันใด ลู่เหิงกำลังยั่วยุเขา เหิมเกริมถึงขั้นเอ่ยวาจาท้าทายซึ่งหน้า
ฟู่ถิงโจวออกแรงกำหมัดมากเกินไป บาดแผลที่แขนตึงจนเจ็บ สีหน้าของชายหนุ่มเย็นเยียบดุจเหล็ก น้ำเสียงข่มกลั้นโทสะ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการลู่ เรื่องทุกอย่างควรยุติเมื่อถึงจุดที่เหมาะสม อย่าได้เล่นกับไฟจนไฟคลอกตัว”
ลู่เหิงมองฟู่ถิงโจวพลางยิ้ม เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างใหญ่สดใส จากนั้นก็หันหน้ามามองฟู่ถิงโจวอย่างเปิดเผย น้ำเสียงเจือแววฉงนและใสซื่ออย่างเหมาะเจาะพอดี “ข้ารับพระบัญชาสืบคดีจางหย่งและเซียวจิ้งติดสินบนขุนนาง เจิ้นหย่วนโหวขัดเคืองถึงเพียงนี้ หรือว่าท่านมีความเกี่ยวข้องอันใดกับจางหย่งและเซียวจิ้ง”
ริมฝีปากบางของฟู่ถิงโจวเม้มแน่น เส้นเลือดเขียวบนลำคอปูดขึ้นมา
ลู่เหิงเสียดสีอีกฝ่ายได้ทั้งทีก็ให้อารมณ์ดียิ่งนัก แต่เขายังไม่หนำใจจึงเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างจริงใจ “ได้ยินว่าเรื่องมงคลของเจิ้นหย่วนโหวกับคุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวใกล้เข้ามาแล้ว ผู้แซ่ลู่ขอแสดงความยินดีกับเจิ้นหย่วนโหวที่สมหวังดังใจหมาย ได้คนงามมาเคียงคู่ เพียงแต่น่าเสียดายที่หมู่นี้ข้าปลีกตัวจากกองเจิ้นฝู่ไม่ได้เลย สุราดีของเจิ้นหย่วนโหวเห็นทีผู้แซ่ลู่คงไม่มีวาสนาจะได้ลิ้มรสแล้ว ไว้วันหน้าในงานสมรสของเจิ้นหย่วนโหว ผู้แซ่ลู่จะต้องไปเยือนและขอดื่มสุรามงคลสักจอกเป็นแน่”
ลู่เหิงกล่าวจบก็พยักหน้าให้ฟู่ถิงโจวแล้วหันกายจากไป ฟู่ถิงโจวยืนอยู่บนทางแคบอันขรึมขลังเย็นชาภายในพระราชวัง มองส่งลู่เหิงเดินจากไปไกล ลวดลายเฟยอวี๋สี่เล็บบนตัวเขาเปล่งประกายสีทองระยับภายใต้แสงอาทิตย์ทิ่มแทงตาคนจนปวดแปลบ
ฟู่ถิงโจวกำหมัดแน่นขึ้นทุกที เส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือปรากฏสิ้น เขารู้ดีแก่ใจว่าชิงชิงต้องถูกลู่เหิงจับตัวไปแน่นอน สองวันนี้เขาเฝ้ารอให้ลู่เหิงยื่นเงื่อนไขมาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยดุจเดิม ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ในที่สุดฟู่ถิงโจวก็ทนไม่ไหวตรงมาหาลู่เหิงเพราะต้องการคำตอบ สุดท้ายเจ้าลู่เหิงผู้นี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
ฟู่ถิงโจวโกรธลู่เหิงที่ไม่เลือกวิธีการ แต่เขาเป็นห่วงหวังเหยียนชิงมากกว่า นางเป็นสาวเป็นนาง ตกอยู่ในเงื้อมมือคนอย่างลู่เหิง ทุกครั้งที่นาฬิกาทรายบอกเวลา ฟู่ถิงโจวเป็นต้องอกสั่นขวัญผวา ฟู่ถิงโจวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อากาศแห้งเย็นในนครหลวงเป่ยจิงทะลักเข้ามาในปอด ประหนึ่งคมมีดกระนั้น กรีดแทงคนจนรู้สึกเจ็บ เขาแหงนหน้ามองไปยังวังหลวงหรูหราโอ่โถงที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องบ้างสูงบ้างต่ำ มองท้องฟ้าสีน้ำเงินกับหมู่เมฆที่ลอยล่อง หัวใจเหมือนแหว่งเว้าไปส่วนหนึ่ง พลังชีวิตรั่วไหลออกไปภายนอกไม่หยุด
ชิงชิง เจ้าอยู่ที่ใด
ลู่เหิงออกจากวังแล้ว ปากยังคงประดับรอยยิ้มคลุมเครืออยู่ตลอด เขาแจ้งฮ่องเต้แล้วสามารถออกเดินทางไปเป่าติ้งสืบคดีได้ ลู่เหิงเป็นองครักษ์เสื้อแพรสามารถสร้างฐานะปลอมให้ตนเองได้โดยมิต้องเปลืองแรง เขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างฉับไว พาหวังเหยียนชิงออกจากนครหลวง มุ่งหน้าไปเมืองเป่าติ้งในเช้าวันหนึ่ง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกรกฎาคม 66)