เยี่ยเหมยยกมือปาดหยดน้ำที่หยดลงมาไม่หยุด สูดหายใจลึกเอาอากาศที่สดชื่นเกินปกติเข้าไปสองเฮือก ก่อนขยับมือเท้าวักน้ำว่ายไปทางจุดที่กลุ่มคนรวมตัวกัน ว่ายไปพลางนึกงงไปพลางว่าเหตุใดที่นี่ถึงไม่เห็นแสงหลอดไฟสว่างไสว มีก็เพียงแสงเพลิงจุดเล็กจุดน้อยส่องแสงวิบวับ
“ช่วยด้วยๆ ฉันอยู่ตรงนี้!” ในที่สุดเท้าเยี่ยเหมยก็เหยียบถูกพื้นดินแล้ว เธอกุมท้องน้อยที่ปวดเล็กน้อยไว้ ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง พลางเปล่งเสียงตะโกนไปยังจุดที่กลุ่มคนอยู่อีกครั้ง
“ฮูหยิน จะ…จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
บนฝั่ง บ่าวหญิงรูปร่างกำยำที่ในมือบ้างถือไม้คานบ้างถือคบเพลิงจำนวนเจ็ดแปดคนพากันหนีกระเจิงออกไปไกลกว่าเดิมด้วยความตระหนกตกใจ รุมล้อมอยู่ข้างกายสตรีวัยกลางคนที่เกล้าผมสูงและคลุมเสื้อคลุมลายหรูอี้สีม่วงเข้มนางหนึ่ง จ้องมองเยี่ยเหมยที่กำลังคลานมาข้างหน้าอยู่ตรงริมบึงน้ำ แต่ละคนตัวสั่นเทาราวกับใบไม้ร่วงกลางสายลม
ขณะกำลังหวาดหวั่นละล้าละลังอยู่นั้นเองก็มีสตรีหน้าซีดเผือดนางหนึ่งโผล่พรวดจากด้านหลังกลุ่มคนมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮูหยินผู้นั้น “ฮูหยิน! สวรรค์มีเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ อาเหมยถูกถ่วงน้ำแล้วยังไม่ตาย นี่ต้องเป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงคุ้มครอง ฮูหยิน ท่านได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตอาเหมยสักคราเถิดเจ้าค่ะ ผู้น้อยอนุภรรยาโขกศีรษะขอร้องท่านแล้ว!”
ผู้คนในอาณาจักรต้าฉี่เชื่อเรื่องผีสางเทพยดากันเป็นส่วนมาก คนที่ถูกถ่วงน้ำไปเกือบครึ่งก้านธูป กลับไม่ตาย ซ้ำยังว่ายกลับขึ้นมาได้อีกเหมือนเยี่ยเหมยดูก็รู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง ทำให้เหล่าบ่าวหญิงที่จับเยี่ยเหมยใส่กรงหมูถ่วงน้ำด้วยตนเองใจเต้นรัวไม่หยุด แม้แต่ผู้เป็นฮูหยินเองในใจยังประหวั่นขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางก็มิใช่คนโหดเหี้ยมเลือดเย็น หลังจากมองดูสตรีที่ร้องห่มร้องไห้กองอยู่กับพื้นเล็กน้อยก็ถอนหายใจและโบกๆ มือพลางว่า “ช่างเถิดๆ คุณหนูเหมยชะตาแข็ง พานางกลับไปก่อนค่อยว่ากัน”
เพิ่งจะพูดจบก็มีหนุ่มน้อยร่างผอมเล็กโผล่ออกมาจากพงหญ้าริมฝั่งน้ำ ดึงตัวเยี่ยเหมยที่ล้มอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมา “ท่านไม่ได้ยินที่ฮูหยินพูดหรือ รีบกลับไปเร็วเข้า!”
เยี่ยเหมยมึนไปหมดตั้งแต่ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นร้องห่มร้องไห้แล้ว! เธอจำได้ชัดๆ ว่าท่อระบายน้ำที่เธอตกลงมานั้นอยู่กลางเมืองที่เป็นป่าตึกคอนกรีตสูง แต่ที่นี่รอบด้านมีแต่เนินดินสูงๆ ต่ำๆ แม้จะเป็นเวลากลางคืนเหมือนกัน แต่ที่นี่ทั้งไม่มีแสงหลอดไฟทั้งไม่มีเสียงรถดังจอแจ มีเพียงจันทร์เสี้ยวแขวนสูงอยู่บนท้องฟ้าและแสงคบเพลิงจุดเล็กจุดน้อยที่อยู่ไม่ไกล สถานที่ที่เธออยู่เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่บึงหนึ่ง ไหนเลยจะยังมีเงาของท่อระบายน้ำให้เห็น
ภายใต้แสงคบเพลิงสาดส่อง ผู้หญิงน่าเกรงขามที่เกล้าผมเป็นมวยสูงคนนั้น คนรับใช้หญิงที่กระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าตระหนกตกใจเหล่านั้น ผู้หญิงดูอ่อนแอที่คุกเข่าร้องไห้กระซิกอยู่บนพื้นนั่น ไม่ว่าเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับล้วนแต่เหมือนกับละครยุคโบราณที่เคยดูไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ไม่ได้อลังการเท่าก็เท่านั้น
ระหว่างที่เยี่ยเหมยกำลังงงงวย ข้อมือก็พลันเจ็บ เสียงเร่งรัดอันแหบห้าวในช่วงเสียงแตกหนุ่มของหนุ่มน้อยดังมาเข้าหู ครั้นหันหน้าไปมองก็เห็นเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสามคนหนึ่ง แม้คำตวาดจากปากฟังดูดุร้าย แต่สิ่งที่ทออยู่ในดวงตารื้นละอองน้ำของเขาชัดเจนว่าเป็นความห่วงกังวล เบ้าตาที่บวมแดงมองออกได้ว่าเพิ่งจะผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
เรื่องนี้ไม่รู้ทำไมถึงทำให้เยี่ยเหมยที่เดิมทีอยากสะบัดมือเขาออกพลันปวดแปลบในใจ ลุกขึ้นยืนตามแรงของเขา ก่อนจะทิ้งน้ำหนักพิงลงบนบ่าอันผ่ายผอมอ่อนแอของเขาแทบทั้งตัว
“อาหย่วน!” ฮูหยินอุทานออกมา หันหน้าไปกวาดมองเหล่าบ่าวหญิงที่ถูกทำให้ตกใจจนอึ้งไปเช่นเดียวกัน ก่อนพูดขึ้นอย่างเดือดดาลกระหืดกระหอบอยู่บ้าง “ข้ามิใช่บอกให้พวกเจ้าเฝ้าปากทางไว้หรือไร แล้วนายน้อยหย่วนตามออกมาได้อย่างไร มัวแต่ยืนทื่ออยู่ทำไม ยังไม่รีบประคองอี๋เหนียงสี่ลุกขึ้น แล้วพาคุณหนูเหมยกับนายน้อยหย่วนกลับไปอีก”
“เจ้าค่ะ” บ่าวหญิงหลายคนลอบผ่อนลมหายใจโล่งอกเงียบๆ ที่ประคองก็ประคอง ที่แบกก็แบก เพียงไม่นานบรรดาคนที่ริมบึงน้ำก็สลายตัวไปเกลี้ยง นอกจากรอยเท้ายุ่งเหยิงบนพื้นก็ไม่เหลืออะไรอยู่อีก