เยี่ยเหมยเบิกตากว้างทันที เรื่องมาถึงตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าตนเองทะลุมิติมายุคโบราณ ถึงอย่างไรพี่เลี้ยงเด็กตัวเล็กๆ สุดแสนธรรมดาอย่างเธอ ต่อให้ได้ใบอนุญาตเป็นพี่เลี้ยงเด็กระดับสูงก็ยังเป็นแค่พี่เลี้ยงคนหนึ่งอยู่ดี ไม่ได้มีตระกูลที่โด่งดังและก็ไม่ได้มีเพื่อนเป็นเศรษฐี ไม่มีทางมีใครลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เพื่อแกล้งเธอแน่
ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ข้อมูลข่าวสารเฟื่องฟู ถ้าไม่รู้จักคำว่า ‘ทะลุมิติ’ ก็ถือว่าเชยแหลก เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าคนอื่นทะลุมิติไปเป็นองค์หญิงองค์ชาย หรือถ้าแย่จริงๆ ก็ไปอยู่ในครอบครัวชาวไร่ชาวนา นำพาคนทั้งครอบครัวหลุดพ้นความยากจนสู่ความร่ำรวย สุดท้ายก็ต่างจับสามีชั้นเลิศที่มีเงินถุงเงินถังได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น แล้วเหตุใดพอถึงคราวตนเองกลับกลายเป็นผู้หญิงท้องที่ถูกจับถ่วงน้ำเสียได้ ชาติก่อนเธอทำบาปทำกรรมอะไร ชาตินี้ถึงได้เคราะห์ร้ายขนาดนี้!
“นายน้อยหย่วน หรือเจ้าไม่กลัวว่ามีพี่สาวหน้าไม่อายเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเจ้า เจ้าต้องเข้าสอบซิ่วไฉ นะ” อี๋เหนียงสามพูดพลางถอยหลังไปครึ่งก้าว เหลือบมองอี๋เหนียงสี่ที่ยืนตัวลีบอยู่ด้านหลังสองพี่น้องปราดหนึ่ง ในดวงตามีแววขุ่นเคืองปรากฏวาบ
ครั้นอี๋เหนียงสามหันหน้ามามองเยี่ยเหมยอีกครั้ง ในดวงตาก็เหลือเพียงแววรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง “หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานก็ทำเรื่องต่ำช้าน่าอายเช่นนั้นจนท้องป่องขึ้นมา ในบริเวณร้อยลี้รอบตำบลหยางหลิ่วเราไม่เคยมีใครหน้าไม่อายขนาดเจ้า ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วตนเองขายหน้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังจะพลอยทำให้นายน้อยหย่วนกับสกุลเยี่ยเดือดร้อนไปด้วย”
ในใจของอี๋เหนียงสามมีความลับที่ให้ใครรู้ไม่ได้ จึงพ่นถ้อยคำไม่น่าฟังออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งใจจะพูดให้เยี่ยเหมยที่มีนิสัยอ่อนแอปวกเปียกไม่มีความคิดของตนเองอับอายจนไม่มีหน้ามองใคร ยิ่งไปแขวนคอตายได้ยิ่งดี
แต่น่าเสียดายที่แม้เยี่ยเหมยผู้เปลี่ยนวิญญาณใหม่แล้วจะมิใช่หญิงเหล็กอะไร แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอขี้ขลาดเหมือนเจ้าของร่างเดิม เธอพิงตนเองกับตัวบ่าวหญิง เงยหน้ามองอี๋เหนียงสามตรงๆ “ขายหน้าหรือ…ขายหน้าหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า แม้แต่ท่านแม่ยังไว้ชีวิตข้าแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายกมือวาดเท้าอยู่ตรงนี้ อะไรเรียกว่า ‘เรื่องต่ำช้าน่าอาย’ การเพิ่มจำนวนคนรุ่นหลังเป็นเรื่องต่ำช้าแล้วหรือ ถ้าต่ำช้าเจ้าก็อย่าทำแล้วกัน!”
เยี่ยเหมยที่ตรงหน้าผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งตัวเปียกโชก บนศีรษะยังมีวัชพืชน้ำสั้นๆ ยาวๆ ติดอยู่ไม่น้อย ชั่วครู่ก่อนหน้ายังหน้าซีดขาว ริมฝีปากเป็นสีม่วง ตัวสั่นเทา แต่เพียงชั่วครู่ต่อมากลับคิ้วชี้ชัน มีท่าทางยโสโอหังกดข่มผู้คน ไหนเลยจะยังมีสภาพหัวหดตัวลีบ ไม่กล้ามองคนตรงๆ เช่นเมื่อก่อนอีก
ครั้นคิดโยงไปถึงเรื่องที่ทุกคนบอกว่านางว่ายกลับขึ้นมาจากใต้น้ำ อี๋เหนียงสามก็เบิกดวงตาทรงเสน่ห์โพลงด้วยความตกใจทันที เรียวนิ้วที่ชี้เยี่ยเหมยสั่นระริก “เจ้า…เจ้า…เป็นคนหรือเป็นผี!”
พร้อมกับที่นางพูดจบ ร่างของบ่าวหญิงที่ประคองเยี่ยเหมยอยู่ก็สะท้านเฮือกขึ้นมาเช่นกัน ดูท่าทางจะตกใจไม่น้อย
เยี่ยเหมยในใจสะดุดกึก คนโบราณเชื่อเรื่องงมงาย ถ้าถูกคนรู้ว่าตนเองยืมร่างผู้อื่นอยู่ ดีไม่ดีถ่วงน้ำไม่สำเร็จจะถูกไฟเผาเอาอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็ตายจริงๆ แน่แล้ว! เธอพลิกมือลูบหน้าโดยจิตใต้สำนึกพร้อมทั้งมองมือที่เหมือนเท้าไก่และปลายแขนเสื้อที่ถูกเสียดสีจนรุ่ยของตนเองแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าพูดอย่างมั่นใจไม่มีใดเกิน “แน่นอนว่าข้าต้องเป็นคน!”
หนุ่มน้อยที่ด้านหน้าเยี่ยเหมยเองก็หันหน้ากลับมามองเธอแวบหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “อี๋เหนียงสาม ใต้เท้าพี่เหมยมีเงากระมัง อีกทั้งหมัวมัวทั้งสองที่ประคองนางอยู่จะสัมผัสไม่ได้เชียวหรือว่าตัวนางเย็นหรือร้อน”
“อี๋เหนียงสาม ข้า…ข้าคุกเข่าขอร้องท่านแล้ว ได้โปรดละเว้นอาเหมยด้วยเถิด” อี๋เหนียงสี่มารดาแท้ๆ ของเยี่ยเหมยคล้ายว่าทำเป็นแต่ร้องไห้กับโขกศีรษะ พูดพลางก็ทำท่าจะคุกเข่าให้อี๋เหนียงสาม