“เป็นเจ้า?” จั่นอวิ๋นหยางได้ยินเสียงก็หันหน้ามา พร้อมกันนั้นก็ยกสองขาลงจากม้านั่งเปลี่ยนท่านั่ง เลิกคิ้วน้อยๆ “ของทำเสร็จแล้วหรือ”
“อื้ม ทำเสร็จแล้ว อยู่ที่ทางเดินด้านนอกนี้เอง คุณชายจั่นต้องการตรวจดูสักหน่อยหรือไม่” ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยเหมยถูกนัยน์ตาลึกล้ำของจั่นอวิ๋นหยางมองตรงๆ ก็ให้ความคิดจิตใจสับสนลนลานอยู่บ้าง ครั้นได้ยินเสียงนุ่มหูปานเสียงเชลโล่ของเขาอีกก็เหมือนมีขนนกปั่นอยู่ในใจ ทำให้คนรู้สึกคันยุบยิบ
เมื่อพบว่าตนเองคิดจนใจลอย เยี่ยเหมยก็หยิกต้นขาตนเองอย่างแรง หลังจากลอบด่าตนเองเงียบๆ ว่าไม่ได้ความถึงค่อยนับว่าได้สติกลับมาจากเสียงนั้น
“ไม่จำเป็น” จั่นอวิ๋นหยางพิงเสาศาลาอีกครั้ง ยกมือคลำเอวคลำแขนเสื้อเล็กน้อย ครั้นค้นพบว่าตนเองไม่ได้พกเงินติดตัวออกมาก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า “เจ้ารอสักครู่ ข้าจะให้คนเอาเงินมาให้เจ้า” เขาชะงักไป คิ้วขมวดน้อยๆ ขึ้นมาก่อนจะกล่าว “เจ้าสบายดีแล้ว?” ไฉนจึงดูผอมกว่าเมื่อสามวันก่อนเสียอีก คำพูดส่วนหลังนี้จั่นอวิ๋นหยางต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะกลั้นไว้ไม่ถามออกไปให้เสียมารยาทได้ เพียงแต่ความรู้สึกเสียการควบคุมนั้นถาโถมขึ้นมาในใจเขาอีกแล้ว
“ท่านยังมีหน้าพูดได้อีกหรือ วันนั้นท่านทิ้งไว้แค่เงินกับที่อยู่ไม่ชัดเจน แม้แต่ชื่อแซ่ก็ไม่บอก ข้าเกือบจะถูกบ่าวเฝ้าประตูบ้านท่านตีแล้ว ยังดีที่บังเอิญเจอแม่นางชุนหลัน แล้วนางยอมพาข้าเข้ามา ใครจะไปรู้ว่าพบสะใภ้ใหญ่ก็ต้องรอรายงานอีก บ้านพวกท่านใหญ่ขนาดนี้ เดินจนคนปวดเอวปวดขาไปหมด ข้าเพียงแต่อยากหาที่นั่งพัก ไม่คาดคิดว่าท่านจะอยู่ที่นี่พอดี” เยี่ยเหมยรู้สึกว่าสีหน้าคนตรงหน้าเย็นชาเกินไปแล้วจริงๆ ขัดกับเสียงนุ่มหูน่าฟังของเขาโดยสิ้นเชิง นางจึงก้มหน้าไม่มองหน้าเขา
เดิมทีนางคิดจะเดินจากไป แต่เอวปวดเมื่อยมากจริงๆ ถ้าไม่ได้นั่งสักพักเกรงจะไม่ดีต่อลูก จึงได้แต่เดินไปนั่งลงตรงข้ามเขา
จั่นอวิ๋นหยางจ้องเยี่ยเหมยที่นั่งนวดเอวอยู่บนม้านั่งฝั่งตรงข้าม หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่น หากบอกว่านางกลัวตนเอง นางก็ไม่เหมือนคนขี้ขลาด ยังกล้าเข้ามาพักในศาลาก็แสดงว่านางไม่กลัวเขา ทว่าตั้งแต่เข้าศาลามานางกลับไม่กล้าเงยหน้ามองเขาสักแวบ ช่างน่าแปลกโดยแท้
คิดถึงคำที่ได้ยินนางพูดในตรอกวันนั้น เขาก็อดจะจ้องดูใบหน้านางนานขึ้นหลายอึดใจไม่ได้ ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง พวงแก้มแดงเรื่อ ผิวพรรณขาวผ่องราวหิมะ แม้จะยังผ่ายผอมอ่อนแอ แต่สีหน้าดูดีกว่าวันนั้นมากแล้ว ทำให้คนละสายตาไม่ได้อยู่บ้าง ถึงนางจะก้มหน้าอยู่ เขาก็ยังนึกภาพนัยน์ตางดงามที่เปิดเผยไร้กังวลและมั่นใจในตนเองคู่นั้นของนางได้
สตรีเช่นนี้ แววตาเช่นนี้ จั่นอวิ๋นหยางรู้สึกคุ้นอยู่ตลอด ทว่าถ้าเขาเคยเห็นย่อมจะไม่มีทางลืมแน่นอน หากแต่เขาค้นดูสตรีที่มีจำนวนไม่มากในห้วงสมองแล้วกลับไม่มีคนใดที่เหมือนสตรีตรงหน้า ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกโดยแท้
เยี่ยเหมยไม่เคยถูกคนจ้องมองอย่างเปิดเผยเพียงนี้ สายตานั้นร้อนแรงจนนางที่ก้มหน้าอยู่ยังรู้สึกได้ ทำให้ถึงแม้นางจะหน้าหนากว่านี้ก็นั่งไม่ติดแล้ว จึงพลันผุดลุกขึ้นยืน
“ข้าว่าข้าออกไปรอแม่นางชุนหลันจะดีกว่า”
ชายหญิงนั่งด้วยกันตามลำพังไม่นับเป็นอะไรในภพก่อนของนาง แต่ในยุคสมัยนี้ถ้าถูกผู้อื่นพบเห็นขึ้นมาก็หาใช่เรื่องดีไม่ ยิ่งเป็นเยี่ยเหมยที่เพิ่งหนีรอดจากการถูกถ่วงน้ำด้วยแล้ว นางไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดอีก
คนมีครรภ์ล้วนมีประสบการณ์ลุกยืนกะทันหันแล้ววิงเวียนหน้ามืด เยี่ยเหมยเพิ่งผ่านการเดินเป็นระยะทางยาวมา เพิ่งจะนั่งลงได้กลับลุกขึ้นปุบปับอีก จึงวิงเวียนตาลายขึ้นมา ภาพตรงหน้ามืดไปทำท่าจะล้มทันที