ถ้าจั่นอวิ๋นหยางในวันหน้าได้รู้ว่าคำพูดของตนเองในเวลานี้ได้ฝังความคิดชักนำแก่เยี่ยเหมย คาดว่าเขาคงได้นึกเสียใจแทบตาย
เพียงไม่นานก็มีคนหนุ่มชุดน้ำเงินวิ่งมาจากทางด้านหน้าพร้อมกับเหงื่อกาฬเต็มศีรษะ ไม่ได้เห็นมารดาที่ป่วยหนัก กลับมองเห็นจั่นอวิ๋นหยางอยู่ในชุดสีเขียวครามซอมซ่อ เขาก็อึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด “ท่านรอง?”
จั่นอวิ๋นหยางพยักหน้าก่อนชี้เยี่ยเหมย “แม่นางท่านนี้เป็นแขกในคฤหาสน์ เจ้าช่วยไปส่งนางที่ที่นางต้องการไปด้วย” เยี่ยนเฟยเป็นบุตรชายคนเดียวของแม่นมของจั่นอวิ๋นหยาง และนับว่าเป็นคนเดียวที่จั่นอวิ๋นหยางซึ่งปกติออกท่องอยู่ข้างนอกสามารถเรียกใช้ได้ ทั้งยังเป็นคนเก็บความลับได้ดี
เยี่ยนเฟยมีหน้าตาท่าทางซื่อๆ แต่นิสัยยังนับว่าปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ พอเขาเห็นท่าทางของจั่นอวิ๋นหยางก็รู้แล้วว่าเรื่องมารดาป่วยไม่ใช่เรื่องจริง นอกจากความโล่งใจแล้วเขายังนึกเรื่องที่สองวันนี้มารดาพูดถึงขึ้นได้ด้วย ขณะพยักหน้าก็เอ่ยถามจั่นอวิ๋นหยางอย่างระมัดระวังยิ่ง “ท่านรอง ท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า กตัญญูต่อมารดาของเจ้าให้มากก็พอ” จั่นอวิ๋นหยางทบทวนความคิดเสร็จเรียบร้อยก็ตัดสินใจวางเรื่องความคิดความอ่านที่ตนไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไรเหล่านั้นไว้ด้านข้างก่อน รอจัดการงานเสร็จแล้วค่อยมาคิดต่อ
ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาฝากเยี่ยเหมยไว้กับเยี่ยนเฟยแล้วจึงหมุนกายสาวเท้ายาวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองเยี่ยเหมยให้เกินความจำเป็น
ประตูเมืองทิศตะวันตก
กู่จวิ้นขี่หลังม้าตัวหนึ่งและยังมีอีกตัวตามอยู่ด้านข้าง ขณะเห็นจั่นอวิ๋นหยางมาตามนัดก็อดจะพูดยิ้มๆ ไม่ได้ “ข้านึกว่าท่านรองจั่นมีสาวงามอยู่ในอ้อมแขนแล้วคงจะมาช้าไปบ้าง แต่ไฉนถึงได้มาเร็วเพียงนี้”
จั่นอวิ๋นหยางทำหน้าเข้มพลางพลิกตัวขึ้นหลังม้า ก่อนควบห้อนำหน้าออกจากประตูเมืองทิศตะวันตกไป ภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมกลับจิตใจปั่นป่วนเนื่องจากคำพูดของกู่จวิ้น
เขารู้เพียงว่าเวลานั้นเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของเยี่ยเหมย หันหลังเดินจากไปเลยก็ได้ แต่ขณะที่เขามองเห็นชัดว่าคนที่ถูกชายนักเลงสองคนนั้นรังควานคือเยี่ยเหมย เขาก็ถึงกับกระโดดจากกำแพงโดยไม่ลังเล
เขาเองรู้ว่าหลังกู่จวิ้นจัดการสองคนนั้นจนหนีไป เขาสามารถปล่อยตัวเยี่ยเหมยแล้วไปจากตรงนั้นได้ ต่อให้บ่าวอารักขาที่ไล่ตามออกมาจะรู้ว่าเขาเคยอยู่ตรงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว หากแต่เขากลับตัดใจปล่อยมือไม่ลง ตัดสินใจปล่อยคนเนื้ออ่อนหอมกรุ่นในอ้อมแขนลงไม่ได้
เขารู้ทั้งรู้ว่ากู่จวิ้นไม่มีทางปล่อยชายนักเลงสองคนนั้นไป แต่หลังฝากเยี่ยเหมยไว้กับเยี่ยนเฟยแล้ว เขาถึงกับเปลืองแรงเปลืองเวลาไปหาและจับตัวสองคนนั้นไปส่งทางการ ด้วยอิทธิพลของจั่นอวิ๋นหยาง สองคนนั้นอย่างน้อยต้องถูกโบยแล้วเนรเทศไปไกลแปดร้อยลี้ ลงทุนลงแรงใหญ่โตเช่นนี้ก็เพื่อว่าคราวหน้าเยี่ยเหมยไปคฤหาสน์สกุลจั่นอีกจะไม่ต้องถูกคนจ้องจะปล้นชิง เขาถึงกับใช้เรื่องงานบังหน้าหาประโยชน์ให้ตนเอง ให้กู่จวิ้นบอกเจ้าเมืองเซิ่งโจวว่าให้ตรวจสอบนักเลงอันธพาลในเมืองภายในระยะเวลาหนึ่งหลังจากนี้ด้วย
ขณะอยู่ในร้านเกี๊ยว เขาอดจะลอบพินิจมองเยี่ยเหมยไม่ได้ ยิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจ เขาเคยเห็นสตรีมาไม่น้อย แต่เหตุใดถึงจำหญิงสาวชนบทนางนี้ได้แม่นอยู่เพียงผู้เดียว เป็นเพราะความสุขุมเยือกเย็นมั่นใจในตนเองและความมีสำบัดสำนวนคมคายที่แตกต่างไปจากสตรีอื่น หรือเป็นเพราะ…นางทำตัวลึกลับมากลูกไม้
น่าเสียดายที่จั่นอวิ๋นหยางไม่เคยชอบสตรีใดมาก่อน จึงไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณอาการหวั่นไหว เขามีนิสัยสงวนท่าที ทั้งยังชอบเก็บซ่อนเรื่องต่างๆ ไว้ในใจ ใช้ความเย็นชาเคร่งขรึมแสดงต่อผู้อื่นจนเคยชิน ผู้อื่นเองก็ไม่กล้าหยอกล้อพูดคุยกับเขา ทำให้กว่าเขาจะรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้หมายถึงอะไรก็อีกเป็นนานหลังจากนี้
กู่จวิ้นขี่ม้าไปบนถนนหลักมุ่งสู่ด่านชายแดนของเมืองเซิ่งโจวเคียงข้างกับเขา มองใบหน้าด้านข้างที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวของเขาแล้ว กู่จวิ้นก็อดจะถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ อายุต้นยี่สิบเหมือนกัน แต่ไฉนตนเองถึงทำตัวสุขุมลุ่มลึกไม่ได้อย่างจั่นอวิ๋นหยางกันเล่า