สะใภ้ใหญ่จั่นลุกขึ้นเดินมาหยุดข้างเกาซื่อฮวาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ก่อนยื่นมือมาจะแตะหน้าอกอีกฝ่าย
เห็นดังนี้เยี่ยเหมยก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้ รีบปราดมาข้างหน้าสะใภ้ใหญ่จั่น ย่อตัวลงถามเกาซื่อฮวา “ซื่อฮวา ให้ฮูหยินท่านนี้ดูคอของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
สะใภ้ใหญ่จั่นชะงักค้างอยู่ที่เดิม เกาซื่อฮวายิ้มให้นางก่อนปลดกระดุมบนเสื้อบุนวมด้วยตนเอง “ฮูหยิน ท่านดูเถิดเจ้าค่ะ พี่อาเหมยให้ข้ากินยาทุกวัน ตรงนี้เดิมทีโป่งออกมา ไม่น่ามองอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ใกล้จะเรียบแล้ว”
สะใภ้ใหญ่จั่นไหนเลยจะรู้ว่าหน้าอกเกาซื่อฮวาโป่งนูนขนาดไหน เพียงแต่ความจริงที่เห็นน่าประหลาดใจเกินไป นางแค่อดจะตื่นเต้นในใจไม่ได้เท่านั้น พอเกาซื่อฮวาเปิดปากพูด นางก็กลับไปมีท่าทีเย็นชาเช่นเดิม
เฝิงหมัวมัวที่ด้านข้างระงับใจไม่อยู่นานแล้ว รีบยื่นมือมาจับดูแล้วก็กล่าวกับสะใภ้ใหญ่จั่นด้วยอาการแตกตื่นดีใจ “สะใภ้ใหญ่ เป็นความจริงเจ้าค่ะ นี่เพิ่งจะเจ็ดวันเท่านั้นเอง!”
“เด็กอายุหกเจ็ดขวบเพิ่งจะเริ่มผลัดฟัน ถ้าบำรุงในเวลานี้…จนหายจากอาการขาดสารอาหาร ฟันที่จะขึ้นใหม่ก็จะขาวสะอาดเป็นระเบียบ” เยี่ยเหมยรู้สึกว่าเฝิงหมัวมัวคิดจะยกมือจับเกาซื่อฮวามาตรวจดูปาก นางจึงยื่นมือไปขวางไว้ทันที
นางให้เกาซื่อฮวามาเป็น ‘คนลองยา’ ก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว ย่อมจะไม่อยากให้เกาซื่อฮวาต้องถูกคนแตะต้องตัวตามอำเภอใจเหมือนสัตว์เลี้ยงอีก
เฝิงหมัวมัวได้แต่เก็บมือกลับแล้วถอยไปอยู่ข้างๆ
สะใภ้ใหญ่จั่นยืนดูซื่อฮวาอยู่ที่เดิม ผ่านไปเป็นนานก็พลันยิ้มให้เยี่ยเหมยอย่างนับว่าสนิทสนมอบอุ่น “แม่นางเยี่ย ไม่ทราบว่าหนึ่งครั้งเจ้าสามารถทำยาออกมาได้กี่ชุด”
ของที่ใช้ทำทั้งหมดล้วนเป็นของกิน เยี่ยเหมยไม่กล้ารับประกันกำหนดเวลาหมดอายุ โชคดีที่ตอนนี้เพิ่งเริ่มฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิไม่สูง หลังทำเป็นผงแล้วสามารถเก็บรักษาได้หนึ่งสัปดาห์ ด้วยเหตุนี้เวลาเดียวกับที่บำรุงแคลเซียมให้เกาซื่อฮวา นางก็ได้เตรียมวัตถุดิบไว้อีกจำนวนหนึ่งด้วย สามารถให้เด็กคนหนึ่งกินได้ถึงเจ็ดวัน
ทว่าขณะสะใภ้ใหญ่จั่นเอ่ยถามถึง เยี่ยเหมยกลับไม่ได้บอกออกมาหมดเปลือก เพียงแต่บอกว่ายาตำรับลับมีขั้นตอนการทำซับซ้อน ลองทำดูในไม่กี่วันมานี้ก็เพิ่งจะได้ปริมาณเพียงเด็กหนึ่งคนกินสามวัน
สุดท้ายเยี่ยเหมยยังไม่ลืมเตือนสะใภ้ใหญ่จั่นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่าข้อห้ามของยาตำรับลับจากบรรพบุรุษของบ้านข้านี้มีจำนวนมาก ถ้าสะใภ้ใหญ่จั่นเชื่อถือในตำรับยานี้ของข้า ก็ช่วยปฏิบัติตามกฎในการกินด้วย…”
คาดไม่ถึงว่านางยังพูดไม่ทันจบ สะใภ้ใหญ่จั่นจะโบกมือ “ถ้าเช่นนี้ข้าจะให้เฝิงหมัวมัวกับชุนหลันพาชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ไปอยู่ที่เรือนเล็กกับเจ้า ตามที่ตกลงก่อนหน้านี้ ขอเพียงอีกหนึ่งเดือนเห็นว่าอาการเด็กทั้งสองดีขึ้นชัดเจน ข้ายินดีจะเพิ่มค่ายาให้เป็นสองเท่า”
“เรื่องนี้…” ไม่ใช่ที่ตกลงกันไว้ก่อนนี่!
เยี่ยเหมยอยากพูดเช่นนี้นัก หากแต่เห็นได้ชัดว่าสะใภ้ใหญ่จั่นก็นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นได้ จึงชิงสัญญาตัดหน้าเยี่ยเหมยโดยไม่ให้ปฏิเสธ “เฝิงหมัวมัวกับชุนหลันจะไม่ลอบดูเจ้าทำยาตำรับลับแน่นอน เพียงแต่จะพาคนไปดูแลชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ หลังจากหนึ่งเดือนเจ้าก็ยังคงขายยาของเจ้าต่อไป”
คราวนี้เยี่ยเหมยเข้าใจแล้ว สะใภ้ใหญ่จั่นคิดจะไม่ให้นางกลับคำ แต่เมื่อต้องการได้เงินของผู้อื่น ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าผู้อื่นนิสัยแย่ก็ยังต้องอดทนไว้ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเหมยจึงไม่พูดอะไรอีก รับการจัดการนี้อย่างยอมรับชะตากรรม
เนื่องจากจั่นชิงฮุยและจั่นเยี่ยเอ๋อร์จะย้ายไปอยู่เรือนเล็กด้วย เยี่ยเหมยจึงพาเกาซื่อฮวาออกจากคฤหาสน์สกุลจั่นไปซื้อหาของมาทำอาหารเย็นกับภรรยาต้าเหอก่อน ตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไป นางต้องดูแลเด็กขาดแคลเซียมรุนแรงถึงสามคนแล้ว
เยี่ยเหมยเพิ่งออกประตูไป เฝิงหมัวมัวก็เอ่ยถามสะใภ้ใหญ่จั่น “สะใภ้ใหญ่ เหตุใดต้องใจร้อนเช่นนี้เจ้าคะ เด็กคนนั้นเพิ่งจะกินยาได้เจ็ดวัน เวลาสั้นเพียงนี้ก็ให้คุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กกินแล้ว เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
หลังจากเยี่ยเหมยเดินจากไปแล้วสะใภ้ใหญ่จั่นก็มีสีหน้าอึมครึม พอได้ยินเฝิงหมัวมัวถามจึงกวาดดวงตาคมกริบมองบรรดาบ่าวหญิงรับใช้ในห้อง