เยี่ยเหมยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ สองตากวาดผ่านกำไลข้อมือสีทองที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อของภรรยาเสี่ยวเหอ จากนั้นก็หันหน้าไปร้องเรียกเกาต้าเหอที่ข้างๆ ทันที “ท่านอาต้าเหอ ข้าคิดว่าท่านไปเชิญท่านสามเกากับเหล่าผู้อาวุโสมาจะดีกว่า ท่านลู่ ในเมื่อรบกวนท่านมาที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวคงต้องรบกวนให้ท่านเป็นพยานด้วย”
เกาต้าเหอพูดอย่างงุนงง “แต่ท่านสามเพิ่งจะไป” ครอบครัวในชนบทที่ไฟไหม้บ้านมิใช่ไม่มี ทุกคนอย่างมากก็มาดูด้วยไม่ค่อยได้เห็น ทว่าเหตุใดแววตาของเยี่ยเหมยกลับแปลกไปอยู่บ้าง ซ้ำยังจะขอให้ท่านลู่เป็นพยานด้วย พยานอะไรกัน
ภรรยาต้าเหออยู่กับเยี่ยเหมยมาได้พักหนึ่งจึงพอจะรู้นิสัยใจคออีกฝ่าย เมื่อมาได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็ใจกระตุกวาบ ถลึงตาใส่ภรรยาเสี่ยวเหออย่างเข่นเขี้ยว ก่อนจะตวาดเกาต้าเหอเต็มเสียง “อาเหมยให้ท่านไปก็ไปสิ พูดมากอยู่ทำไม!”
บ้านไหม้ไปแล้ว เหล่าคนอยากดูเรื่องครึกครื้นก็มากันแต่เช้าแล้ว ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเริ่มเพาะปลูก ทุกคนไม่มีเวลาว่างให้อยู่แถวบ้านสกุลเกาที่ห่างไกลตัวหมู่บ้านนานนัก ตอนนี้นอกลานเรือนสกุลเกาจึงมีชาวบ้านยืนกระจายกันอยู่เพียงไม่กี่คน ครั้นได้ยินคำของเยี่ยเหมย แต่ละคนก็เหมือนได้กลิ่นเรื่องลับลมคมใน ต่างจ้องมองตาไม่กะพริบ
เมื่อครู่ลู่เฉินเห็นเยี่ยเหมยตรวจดูสถานที่หลายจุดอย่างละเอียด ทั้งยังจับสังเกตเกาเสี่ยวเหอสามีภรรยา หลังได้ยินเช่นนี้ก็คล้ายจะแจ้งใจ รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนบนหน้าอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาหายไปอย่างหาได้ยาก ก่อนหันไปสั่งลู่อันหร่านสองสามประโยค
ลู่อันหร่านได้ยินก็จูงเกาเอ้อร์ฮวาวิ่งไปริมแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล เพียงครู่เดียวก็ยกม้านั่งหุ้มเบาะยัดฝ้ายภายในของห้องบนเรือกลับมาวางด้านหลังเยี่ยเหมย “ท่านน้าเยี่ยเชิญนั่ง” พูดจบก็จ้องเยี่ยเหมยด้วยดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ คล้ายว่ากำลังขอคำชมเชย
“พี่สะใภ้ ท่านต้องการทำอะไร เหตุใดไม่รีบเก็บกวาดห้อง กลับให้คนนอกมาเจ้ากี้เจ้าการอยู่ตรงนี้ ข้าว่านะ ไม่แน่อาจเพราะท่านรับนางแพศยาหน้าไม่อายเช่นนี้เอาไว้ ทำให้สวรรค์พิโรธถึงได้เผาบ้านพวกเรา ต้องให้พวกนางชดใช้!” ภรรยาเกาเสี่ยวเหอรู้สึกว่าแววตาที่เยี่ยเหมยจ้องตนเองนั้นแปลกอย่างยิ่ง จึงหันหัวหอกไปที่ภรรยาต้าเหอด้วยอารามร้อนตัว
“เจ้าเอาแต่พูดเหลวไหลไร้สาระอยู่ได้! อาเหมยกับอาหย่วนเป็นเด็กดีมากเพียงไร อาหย่วนเขายังเป็นถึงว่าที่ซิ่วไฉที่เป็นที่เชื่อมั่นของอาจารย์ในสำนักศึกษา นั่นน่ะมีเทพดาวเหวินฉวี่ปกปักรักษาเชียวนะ น้องสะใภ้ ถ้าเจ้ายังพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนอีก ระวังจะถูกฟ้าผ่าตาย”
ภรรยาต้าเหอก็ไม่ยอมแพ้ ด่ากลับไปอย่างไม่ไว้ไมตรีสักนิด กำลังจะออกปากด่าอีก เยี่ยเหมยกลับยื่นมือมาห้ามนาง พลางจ้องภรรยาเสี่ยวเหอด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เยี่ยเหมยกล่าวกับภรรยาเสี่ยวเหอว่า “อาสะใภ้เสี่ยวเหอ คนทำอะไรสวรรค์ล้วนมองเห็น ถ้าท่านสารภาพความจริงก่อนท่านสามเกามาถึง ทุกคนก็ยังคุยกันได้ ถ้าท่านยังเอาเรื่องภัยธรรมชาติมาบังหน้า ทั้งยังคิดจะไถเงินข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
หินก้อนเดียวทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน! คำพูดนี้ของเยี่ยเหมยราวกับโยนระเบิดลงกลางฝูงชน ฝูงชนที่มุงดูอยู่เอะอะปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ยามนี้เยี่ยหย่วนร้อนใจแล้วจึงปราดมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเหมย “พี่รอง ท่านกำลังพูดเหลวไหลอะไร” ด้วยอารามร้อนใจ คำเรียกขานที่ไม่ได้เรียกมานานก็หลุดออกมาเต็มปากเต็มคำ
เยี่ยเหมยอ้าปากน้อยๆ ยังไม่ทันตอบ ลู่เฉินกลับกวักมือเรียกเยี่ยหย่วนให้ไปหาก่อนกระซิบว่า “อาหย่วนไม่ต้องร้อนใจ พี่รองของเจ้ารู้ดีว่าพูดอะไร ไม่มีทางปรักปรำคนดีเด็ดขาด”
บนหน้าลู่เฉินยังมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนบางๆ หากแต่ในดวงตากลับมีแววเยียบเย็นไม่ยอมให้มีการตัดสินผิดพลาด เยี่ยหย่วนหายใจสะดุด กลืนคำพูดที่เหลือลงไปก่อนกลับไปยืนด้านหลังเยี่ยเหมยเงียบๆ
ติดตามต่อได้ในเล่ม…