“พวกเจ้ามามุงดูอะไรอยู่ตรงนี้! ยังอยากทำมาหากินอยู่บนที่นาของสกุลเยี่ยอยู่หรือไม่” เมื่อครู่อี๋เหนียงสามยังชมดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ทว่าบัดนี้ได้ยินคำพูดของพานหลินจึงกระโดดออกมาในที่สุด หลังจากไล่เหล่าภรรยาชาวนาผู้เช่าที่ไปแล้วก็หันไปพูดกับพานซานเหนียงด้วยสีหน้าเหยียดหยัน “พานซานเหนียง ท่านไม่อยู่เฝ้าที่ดินผืนน้อยของท่านอยู่ที่บ้าน แล่นมาสกุลเยี่ยเพื่ออะไร โอ๊ะ น้องชายพานก็มาด้วย สกุลเยี่ยของพวกข้าคุยกับสกุลพานของพวกท่านรู้เรื่องกันแล้วว่านับแต่นี้ไปสองตระกูลไม่มีสัมพันธ์เกี่ยวดองกันอีก แล้ววันนี้พวกท่านมาต้องการจะทำอะไร”
อี๋เหนียงสามกำลังโมโหสกุลพานอยู่ ตอนแรกนางได้ยินคนบอกว่าสกุลพานมีที่นามากทั้งยังยอมจ่ายค่าสินสอด ถึงได้เกิดความคิดจะจับคู่เยี่ยเหมยกับพานหลิน ใครเลยจะรู้ว่าทรัพย์สินเงินทองของสกุลพานล้วนถูกพานหลินเจ้าคนสำมะเลเทเมานี่ล้างผลาญไปเกือบหมด เงินหมั้นให้มาเพียงแปดสิบตำลึง เมื่อวานซืนขณะนางให้น้องสะใภ้ไปถอนหมั้น แม้แต่เงินสามสิบตำลึงในมือตนเองก็ยังคืนกลับไปด้วย ตอนนี้พวกเขายังจะมีหน้ามาก่อความวุ่นวายอีก!
ขณะพานหลินได้พบเยี่ยเหมยเมื่อคราวก่อน นางมีท่าทางขลาดกลัวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า พอรวมกับชุดฤดูหนาวตัวหนาทำให้มองรูปร่างทรวดทรงไม่ออก เขาจึงไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้เยี่ยเหมย แต่บัดนี้ต่างไปแล้ว เยี่ยเหมยเชิดหน้ายืดอก นัยน์ตาเจิดจ้าแวววาว ชวนให้คนตะลึงในความงามอย่างมาก เขารู้ว่ามารดาตนมีนิสัยเช่นไรจึงรีบกระโดดออกมาขวาง “พี่ใหญ่อู๋ ท่านอย่าเพิ่งไล่พวกข้า ไม่แน่เรื่องที่ข้าจะพูดอาจจะทำให้ท่านต้องเอ่ยปากชมก็เป็นได้”
“เรื่องอะไร” บ้านเดิมของอี๋เหนียงสามแซ่อู๋ นางเป็นลูกคนโต พอได้ยินคำเรียกขานของพานหลินก็นึกได้ว่าตนเองไม่อาจล่วงเกินตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านอู๋จยา จึงทำหน้าตึงเอ่ยถาม
“ให้คุณหนูเยี่ยแต่งมาเป็นภรรยาเอกของข้าเอาตอนนี้ย่อมจะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ทว่านางตามข้ากลับไปเป็นอนุคอยปูเตียงพับผ้าห่มได้” ลูกตาของพานหลินมองวนเวียนอยู่ที่บั้นเอวของเยี่ยเหมย ดูคล้ายกำลังค้นคว้าว่าเหตุใดเอวของนางถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการตั้งครรภ์ กลับยังคงอรชรบอบบางเพียงนั้น
“อ้อ?” คราวนี้อี๋เหนียงสามไม่ทำลีลาแล้ว เอ่ยถามพานหลินอย่างสนอกสนใจทันที “เรื่องนี้ก็ใช่จะไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าน้องพานจะให้สินสอดได้เท่าไร ถ้าน้อยไป ข้าก็ไม่กล้ากลับไปพูดกับนายท่าน” พอพูดถึงเงิน ดวงตาทรงเสน่ห์ของอี๋เหนียงสามก็เปล่งรัศมีชวนตะลึงออกมา
“แปดสิบตำลึงย่อมจะไม่ได้ สิบตำลึงเป็นอย่างไร ท่านดูสภาพผอมโกรกของนางเถอะ พากลับไปยังไม่รู้ต้องเปลืองอาหารขุนอีกเท่าไร มิหนำซ้ำในท้องนางก็ยังมีเด็กอยู่อีกคน ค่ายาขับเด็กเทียบหนึ่งก็หลายตำลึงอยู่เหมือนกัน” พานหลินทำไม้ทำมือประกอบคำพูด ประหนึ่งว่าการให้เยี่ยเหมยตามกลับไปด้วยเป็นเรื่องขาดทุนอย่างมาก
“ยาเทียบหนึ่งอย่างมากก็หนึ่งตำลึงเองกระมัง เด็กคนนี้แค่ขุนดีๆ ไม่กี่วันไม่เพียงจะอุ่นเตียงและมีลูกให้ได้ แต่ยังปูเตียงพับผ้าห่ม ทำงานบ้าน ปลูกผักปลูกข้าวให้ได้ด้วย จ้างชาวนาหนึ่งเดือนก็ยังต้องให้ค่าจ้างหนึ่งตำลึงเลย แปดสิบตำลึง ไม่อาจน้อยกว่านี้แม้แต่อีแปะเดียว!” อี๋เหนียงสามปรายตามองเยี่ยเหมย อารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่านอยู่บ้าง
เหตุใดนางถึงคิดไม่ถึงนะ นางเข้าใจนิสัยของนายท่านดีจนดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเขาบอกจะไล่เยี่ยเหมยออกจากบ้านก็ไม่มีทางสนใจไยดีนางอีกเด็ดขาด
ส่วนอี๋เหนียงสี่นั้นเป็นพวกนิสัยไม่สู้คน มองข้ามไปได้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้อนาคตของเยี่ยเหมยก็อยู่ในมือนางแล้ว ถ้านางไม่กำไว้ให้ดีก็โง่เต็มทน