ภรรยาต้าเหอถอนหายใจก่อนเดินตามเข้าไปในห้องใหญ่ คิดว่าคงจะรีบไปอธิบายกับแม่สามีเพิ่มเติม
เยี่ยหย่วนขมวดคิ้วเดินเข้าห้องที่เยี่ยเหมยพักอยู่ชั่วคราว เกาซื่อฮวาก็ยกชามใหญ่ที่ว่างเปล่าแล้วจูงเกาอู่ฮวาเดินออกมาพอดี
“วันนี้ข้ารีบร้อนมา ในตัวมีเพียงสองตำลึงนั้น ท่านพักอยู่ที่นี่อย่างวางใจเถอะ ข้าจะไปหาเงินมาให้ท่าน”
เยี่ยหย่วนเดิมก็เป็นหนุ่มน้อยคิ้วเข้มตาโต หน้าตาท่าทางองอาจผึ่งผาย ทว่าดันเอาแต่ทำท่าทางดุร้ายรังเกียจเดียดฉันท์นาง…เรื่องนี้ช่างเถอะ ด้วยเบ้าตาที่เรื่อแดงและเสียงที่กำลังอยู่ในช่วงแตกหนุ่มของเขาได้ทำลายท่าทางดุร้ายที่เขาต้องพยายามปั้นขึ้นอย่างยากลำบากไปแทบสิ้นแล้ว
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเหมยที่กำลังคิดว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรก็ทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา ลูบท้องน้อยเบาๆ พลางว่า “ลูกเอ๋ย น้าของเจ้ารักแม่เจ้ากับเจ้ายิ่งนัก” ไม่อาจไม่พูดว่าเด็กคนนี้มีพลังชีวิตกล้าแข็งโดยแท้ ผ่านเรื่องต่างๆ มามากขนาดนี้ยังสามารถอยู่ในท้องของนางได้อย่างมั่นคงปลอดภัย มือลูบลงไปก็คล้ายว่าสามารถสัมผัสได้ถึงจังหวะเคลื่อนไหวของชีวิต
“มิใช่สักหน่อย!” เยี่ยหย่วนเขินอายจนกลายเป็นโกรธ “ข้า…ข้าแค่ไม่อยากให้อี๋เหนียงเสียใจเพราะท่าน”
“ก็ได้ๆ ข้ารู้แล้ว” ครั้นนึกถึงอี๋เหนียงสี่ขึ้นมา เยี่ยเหมยก็ไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นแล้วเช่นกัน ทว่าอากัปกิริยาของน้องชายคนนี้ก็ทำให้นางอบอุ่นในใจโดยแท้ มีหนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสามในชาติที่แล้วคนไหนบ้างที่รู้ความถึงเพียงนี้
เยี่ยหย่วนกวาดตามองบนเตียงเตาก็เห็นห่อผ้าสัมภาระติดตัวเยี่ยเหมยเข้าพอดี พลันนึกขึ้นได้ว่าคืนก่อนตอนเขาช่วยเก็บข้าวของได้เผลอใส่หนังสือลงไปด้วย จึงรีบชี้ห่อผ้านั้นพลางเอ่ย “ในห่อผ้ามีหนังสือของสำนักศึกษาที่ข้าต้องเอาไปด้วยอยู่สองเล่ม ท่านหยิบออกมาให้ข้าที”
ตำรารวมข้อสอบเก่าเล่มนั้นเยี่ยเหมยอ่านไม่เข้าใจก็ไม่คิดจะอ่านต่อ แต่บันทึกอาณาจักรต้าฉี่กลับเป็นหนังสือดีอันหาได้ยาก นางสามารถทำความเข้าใจโลกที่ตนเองอยู่นี้ผ่านหนังสือเล่มนี้ได้ ทำให้ไม่ถึงขั้นสองตามืดบอดไม่รู้อะไรสักเรื่อง
เยี่ยเหมยกะพริบตา ดึงตำรารวมข้อสอบเก่าที่นางไม่ต้องการออกมา แสร้งทำท่าทางเสียดายพลางว่า “อาหย่วน เจ้าก็รู้ว่าบัดนี้ข้าถูกท่านพ่อไล่ออกจากสกุลเยี่ย ไม่มีความรู้หาเลี้ยงชีพ ยังดีเคยเรียนเย็บปักจากท่านแม่มา ภาพดอกไม้ใบหญ้าในหนังสืออีกเล่มงดงามยิ่งนัก ให้ข้าไว้เป็นแบบปักผ้าได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้เงินมาบ้าง มีเงินเลี้ยงหลานของเจ้า”
เยี่ยหย่วนได้ฟังดังนี้ หน้าก็แทบยับยู่เป็นก้อนเดียว ในใจให้ตีกันยุ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เก็บตำรารวมข้อสอบเก่ากลับไปก่อนทำหน้าตึงกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะคิดหาทางหาเงินให้ท่าน ท่านอย่าเอาแต่นั่งคิดเหลวไหล หนังสือเล่มนั้นท่านอยากได้ก็เก็บไว้เถอะ เพียงแต่ต้องระวังหน่อย ห้ามชำรุดเสียหายเด็ดขาด!”
“อื้อ วางใจเถอะอาหย่วน ข้าจะดูแลรักษาอย่างดี” เยี่ยเหมยยิ้ม มือชี้ตราประทับดวงเล็กสีแดงบนปกหนังสือพลางเอ่ยอีกประโยคด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ตรานี้ก็งามยิ่งนัก เดี๋ยวข้าจะปักมันลงบนแผ่นรองรองเท้าที่จะทำให้เจ้า” พวกงานปักด้ายอะไรเหล่านี้เยี่ยเหมยคิดว่าตนเองพอทำไหว
คาดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะพูดจบ เยี่ยหย่วนก็ถลึงตาโต กลั้นหายใจจนหน้าแดงเถือก “ถ้าท่านกล้าปักนามของคุณชายสุยเฟิงลงบนแผ่นรองรองเท้าข้า ต่อไปข้าจะไม่สนใจท่านอีก!”
ร้ายแรงเพียงนี้เชียว? หรือว่าคุณชายสุยเฟิงจะไม่ได้เป็นเพียงบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเล็กน้อยเท่านั้น
เรื่องนี้กลับชักนำให้เยี่ยเหมยอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น “คุณชายสุยเฟิงเก่งมากหรือ”
ถ้ามิใช่เยี่ยเหมยเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตนเอง แค่ถามคำถามนี้ออกมาเยี่ยหย่วนก็คงด่านางว่าผมยาวแต่หยักสมองสั้นไปหลายประโยคแล้ว คุณชายสุยเฟิงคือบัณฑิตอัจฉริยะชื่อดังของเมืองเซิ่งโจวตลอดจนอาณาจักรต้าฉี่ ไฉนจึงมีคนไม่รู้จักเขาด้วย
เยี่ยหย่วนลืมไปชั่วขณะว่าพี่สาวของตนเป็นเพียงสตรีชนบทไร้ความรู้ จึงแค่นเสียงพูดด้วยความไม่พอใจ “คุณชายสุยเฟิงมีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้าตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน เพื่อศักดิ์ศรีของเหล่าบัณฑิต เขายอมที่จะไม่รับคำเรียกขานว่าจ้วงหยวน ไม่รับตำแหน่งขุนนางใหญ่เบี้ยหวัดดี เขาคือแบบอย่างของพวกเราเหล่าบัณฑิต!”
เยี่ยเหมยได้ฟังกลับรู้สึกว่าคุณชายสุยเฟิงเป็นคนโง่
“ศึกษาเล่าเรียนมิใช่เพื่อสอบรับราชการ เป็นขุนนางใหญ่ได้เงินดีหรอกหรือ”
“ท่าน…” คราวนี้เยี่ยหย่วนหมดคำจะตอบโต้แล้ว จึงสะบัดแขนเสื้อทิ้งเยี่ยเหมยเดินจากไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…