บทที่ 4
อันที่จริงเยี่ยหย่วนไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เมื่อวานหลังเขาถูกฮูหยินส่งกลับตำบลก็ไม่สบายใจอยู่ตลอด เช้านี้ได้ยินข่าวว่ามารดาของตนถูกพาตัวกลับก็ยิ่งทำให้เขาร้อนใจ จึงฉวยโอกาสขณะเยี่ยเซิ่งให้คนส่งเขากลับสำนักศึกษาแอบหนีมายังคฤหาสน์นอกเมือง และก็มาทันแม่ลูกสกุลพานสร้างเรื่องวุ่นวายพอดี
จะอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เด็กอายุไม่เต็มสิบสาม หลังจากฟาดพานหลินด้วยอารมณ์วู่วามแล้วลากตัวเยี่ยเหมยหนีมาได้ระยะหนึ่ง ความกลัวในใจของเยี่ยหย่วนก็ระเบิดออกมาในที่สุด เขาลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น สั่นเทาไปทั้งตัว
“อาหย่วน เป็นอะไรไป” เยี่ยเหมยถูกเขาลากตัววิ่งหนีมาก็เหนื่อยแทบกระอัก ครั้นเห็นเยี่ยหย่วนมีท่าทางแปลกไปก็ฝืนประคองตัวเอ่ยถามเขา
“ข้าฆ่าคนไป ทำอย่างไรดี” เยี่ยหย่วนรับรู้แค่ว่าพานหลินส่งเสียงร้องออกมาได้ทีเดียวก็ล้มลง
ทว่าเยี่ยเหมยมองเห็นชัดเจน ท่อนไม้ของเยี่ยหย่วนเคาะลงบนไหล่ของพานหลิน เด็กอายุสิบกว่าจะมีแรงสักเท่าไรเชียว คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก นางจึงสะกดกลั้นอารมณ์แล้วปลุกปลอบเยี่ยหย่วนอยู่พักหนึ่งกว่าจะทำให้เขาลุกขึ้นเดินทางต่อได้
เยี่ยหย่วนไม่เคยมาคฤหาสน์นอกตำบลหยางหลิ่วมาก่อน เยี่ยเหมยยิ่งไม่รู้จักถนนหนทางสภาพแวดล้อมใดๆ สองพี่น้องเดินเลาะไปตามถนนที่ค่อนข้างกว้างเหมือนแมลงวันไร้หัวได้พักหนึ่งก็พลันได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากทางด้านหน้า ดูเหมือนมีคนร้องตะโกนว่าใครตกน้ำ บนถนนที่ครู่ก่อนยังเงียบเหงามีชายหญิงเด็กคนชราจำนวนมากรีบร้อนรุดมาทันที
เยี่ยเหมยมองเยี่ยหย่วนแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามกลุ่มคนไป ครั้นเข้าไปใกล้ เยี่ยเหมยก็มองเห็นถนนเส้นที่ออกจะคุ้นตาอยู่เล็กน้อยสายหนึ่ง สุดปลายทางก็คือบึงน้ำดำที่นางฟื้นขึ้นมาเมื่อวันก่อน เวลานี้ริมน้ำมีคนมุงล้อมอยู่กลุ่มใหญ่ เมื่อมองลอดช่องว่างระหว่างคนไปก็เห็นสตรีชุดเทานางหนึ่งกำลังอุ้มเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งร้องไห้ปานจะขาดใจ
กลางกลุ่มคน ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กำยำอายุราวห้าสิบคนหนึ่งเก็บนิ้วที่อังจมูกเด็กกลับมาก่อนพูดกับคู่สามีภรรยาที่เฝ้าอยู่ข้างเด็กด้วยน้ำเสียงเศร้าเสียดายอยู่บ้าง “ภรรยาต้าเหอ…คนหมดลมแล้ว นางแม้จะเป็นเด็ก แต่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมให้นางดีๆ ให้เด็กน้อยจากไปอย่างงดงามเถิด”
“ไม่! ซื่อฮวาของข้า…” ภรรยาต้าเหอขาอ่อนยวบทันที หลังผ่านไปครู่ใหญ่นางก็หันไปกระโจนตะปบข่วนลงบนตัวเกาต้าเหอผู้เป็นสามีปานว่าเสียสติ “เกาต้าเหอ แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร! ท่านกตัญญูต่อมารดาท่านไปเถอะ ข้ากับพวกลูกๆ ไม่ขอปรนนิบัติด้วยแล้ว! อยากกินปลาบึงน้ำหนาวอะไร ไฉนนางไม่ใช้หลานชายคนโตของนางไปจับมาเล่า มาใช้ซื่อฮวาของข้าทำไมกัน!”
เกาต้าเหอยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง ไม่แม้แต่จะหลบ ปล่อยให้ภรรยาข่วนหน้าจนเลือดซิบ ความเจ็บปวดที่สูญเสียบุตรสาวในไส้ไปแม้แต่ชายอกสามศอกก็ยังทนไม่ไหวต้องหลั่งน้ำตาออกมา “พวกเรา…พาซื่อฮวากลับบ้านกันก่อนเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย”
“เจ้าเป็นใคร ต้องการจะทำอะไร” ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กำยำคือหัวหน้าหมู่บ้านเกาจยา ผู้คนเรียกขานว่าท่านสามเกา ขณะที่เกาต้าเหอสามีภรรยากำลังทะเลาะกันเอะอะเสียงดัง เขาก็พลันเห็นหญิงแปลกหน้าร่างเล็กนางหนึ่งคุกเข่าลงข้างซื่อฮวา ซ้ำยังยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของเด็กน้อย นี่เป็นการกระทำล่วงเกินไม่ให้ความเคารพต่อศพอย่างสูง ถึงแม้ผู้ตายจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่งก็ไม่ได้เช่นกัน!
มือของเยี่ยเหมยเย็นยิ่ง นางจึงสัมผัสถึงความอุ่นร้อนที่เหลืออยู่ตรงอกของเด็กหญิงได้อย่างชัดเจน เพียงแต่นางเพิ่งจะรู้สึกได้ก็ถูกเสียงร้องของท่านสามเกาดังขัดขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้วแน่น ทำมือเป็นท่าทางว่าให้เงียบ พร้อมทั้งก้มตัวลงไปแนบหูกับอกของเด็กหญิง มั่นใจว่าเมื่อครู่ตนเองสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจตรงหน้าอกของเด็กหญิงจริงๆ
ท่านสามเกาสามารถเป็นหัวหน้าหมู่บ้านได้ย่อมจะมีประสบการณ์ความรู้ต่างไปจากชาวบ้านในหมู่บ้านอยู่พอควร หลังหายงุนงงตกตะลึงเห็นว่ากิริยาท่าทางของเยี่ยเหมยไม่ปกติก็ไม่เคลื่อนไหวยับยั้งอีก กลับยืนจับตามองทุกอากัปกิริยาของเยี่ยเหมยอยู่ด้านข้างแทน
น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีประสบการณ์ความรู้เหมือนท่านสามเกา เกาต้าเหอยังกำลังกระซิบกล่อมให้ภรรยาพาลูกกลับไปจัดการฝังให้ดี ด้านข้างก็มีสตรีร่างอ้วนเตี้ยนางหนึ่งกระโดดออกมา “พากลับไปอะไร หาเสื่อแถวนี้ห่อแล้วฝังในป่าก็มิใช่ใช้ได้แล้วหรือไร”
แถบตำบลหยางหลิ่วมีตำนานเล่าว่าผู้ที่ตายนอกบ้าน วิญญาณจะหาประตูบ้านไม่เจอ ถ้านำศพกลับบ้าน ถึงวิญญาณนางจะหาประตูบ้านเจอ แต่ก็เข้าไม่ได้ พอเข้าไม่ได้แล้วจะเป็นอย่างไร ย่อมจะวนเวียนอยู่ในลานบ้านไม่ยอมไปไหน ยิ่งถ้าตายอย่างไม่เป็นธรรมยังจะหาตัวคนที่ทำร้ายนางมาแก้แค้นด้วย
สตรีที่ตอนนี้กระโดดออกมาโวยวายไม่ให้เกาต้าเหอสามีภรรยาพาเด็กกลับไปก็คือน้องสะใภ้ของเกาต้าเหอ ที่วันนี้ซื่อฮวาตกน้ำมีสาเหตุเริ่มมาจากนางและบุตรชายของนาง
“หยุดเอะอะโวยวาย เด็กยังไม่ตาย!” เยี่ยเหมยถูกเสียงร้องไห้ เสียงด่าทอ เสียงโวยวายรอบข้างทำเอาหนวกหูแทบทนไม่ไหว เมื่อครู่นางแน่ใจแล้วว่าหัวใจซื่อฮวายังเต้นเป็นจังหวะช้าๆ ถ้าช่วยให้กลับมาหายใจเองได้ เด็กคนนี้ก็ไม่ตายแน่นอน แต่คนพวกนี้ดันไม่ยอมให้นางได้อยู่สงบๆ
“หยุดเอะอะกันได้แล้ว!” ท่านสามเกาเองก็ตวาดดุขึ้นมา
เขามีความน่าเกรงขามกว่าเยี่ยเหมยที่อ่อนแอปวกเปียกมากนัก พอเขาตะโกน เหล่าชาวบ้านก็ไม่กล้าเอะอะโวยวายอีก
ทุกเวลามีค่าต่อชีวิต เยี่ยเหมยไม่มีเวลาสนใจสีหน้าของผู้อื่น นางกดหน้าผาก ยกคางเกาซื่อฮวาขึ้นให้หายใจได้สะดวก พร้อมทั้งจับอีกฝ่ายอ้าปากตรวจดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมอุดอยู่หรือไม่ จากนั้นก็กดนวดหัวใจให้ทันที
“แม่นาง เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงบอกว่าเด็กยังไม่ตาย…” ท่านสามเกาเดิมอยากจะถามอีกหลายประโยค แต่ใครเลยจะรู้ว่ายังถามไม่ทันขาดคำก็เห็นเยี่ยเหมยวางตัวเกาซื่อฮวาราบลงกับพื้น จากนั้นก็โน้มตัวลงไป ‘จูบ’ ริมฝีปากสีม่วงของอีกฝ่าย
เยี่ยเหมยใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกของเกาซื่อฮวาไว้พลางเป่าลมเข้าปากอีกฝ่าย เป่าเสร็จก็ปล่อยมือที่บีบจมูกออกก่อนจะกดนวดตรงหน้าอกเพื่อช่วยหายใจ ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาก็เพียงเพื่อให้เกาซื่อฮวาสามารถเริ่มหายใจตามจังหวะของนางได้
“นางบ้าไปแล้วหรือ ถึงกับจูบคนตาย” บรรดาคนมุงดูต่างส่งเสียงอุทานตกใจต่อการกระทำของเยี่ยเหมย
“ท่านทำอะไร นางตายไปแล้ว ท่านอย่าทรมานนางอีกเลย” ก่อนหน้านี้เยี่ยหย่วนถูกทำเอาตกใจจนสะดุ้ง หากแต่เวลานี้ได้สติกลับมาแล้ว แม้ปากจะด่าเยี่ยเหมย แต่ตัวกลับเบียดมุดมาอยู่ระหว่างท่านสามเกากับเยี่ยเหมยด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะลงมือทุบตีนางเพราะการกระทำอันแปลกประหลาดนี้
“ยังไม่ตาย ซื่อฮวาของข้ายังไม่ตาย!” คนเป็นมารดาล้วนแต่อยากได้ยินข่าวดีเช่นนี้ทั้งนั้น นางเองก็ไม่สนใจจะตะปบข่วนเกาต้าเหอแล้ว กระโจนปราดมาอยู่ข้างบุตรสาวกับเยี่ยเหมยทันที
เยี่ยเหมยทั้งต้องช่วยผายปอดทั้งต้องนวดหัวใจให้เกาซื่อฮวาจึงหัวหมุนอยู่บ้าง บัดนี้ภรรยาต้าเหอมาได้จังหวะพอดี เยี่ยเหมยจึงดึงมือนางมาวางลงตรงจุดที่กระดูกหน้าอกและกระดูกซี่โครงเชื่อมต่อกันก่อนสั่งว่า “อีกเดี๋ยวพอข้าผละจากปากนาง ท่านก็กดลงไปสิบห้าครั้ง ระวังอย่าออกแรงมากเกินไป”
ภรรยาต้าเหอพยักหน้ารับอย่างเซ่อซ่า กดนวดหน้าอกเกาซื่อฮวาสิบห้าครั้งโดยประสานกับการเคลื่อนไหวของเยี่ยเหมย อย่าว่าแต่เยี่ยเหมยเลย แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจบุตรสาว
มิใช่ว่าเกาซื่อฮวากลับมาใจเต้นและหายใจเป็นปกติแล้ว แต่เพราะหน้าอกนางมีเพียงหนังหุ้มกระดูก แค่แตะดูก็สามารถสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจน้อยๆ ได้ชัดเจน
ตอนนี้เยี่ยเหมยไม่มีแรงจะมาสนว่าเกาซื่อฮวาดีขึ้นหรือไม่แล้ว ร่างกายนางเดิมทีก็อ่อนแอ พอเคี่ยวกรำร่างกายมากเพียงนี้ ทั้งตัวคนก็เหมือนถูกดูดวิญญาณออกไป สีหน้าซีดจนน่าตกใจ ทำได้เพียงเป่าลม ผละออก เป่าลม ผละออกตามสัญชาตญาณ…
“แค่กๆๆๆ”
“ซื่อฮวา? ซื่อฮวา…ซื่อฮวาของข้ายังไม่ตาย ซื่อฮวาของข้ายังไม่ตาย!” ภรรยาต้าเหอเห็นอาการไอสำลักน้อยๆ ของเกาซื่อฮวา และใต้ฝ่ามือก็สัมผัสได้ว่าหัวใจค่อยๆ เต้นแรงขึ้น จึงดีใจจนน้ำตาไหลออกมาทันที!
เช่นนี้ก็ดีแล้ว…
หลังมองเห็นเกาซื่อฮวาฟื้นขึ้นมา เยี่ยเหมยก็คลายใจ พลันรู้สึกหน้ามืด ทั้งตัวคนล้มตึงลงด้านข้าง ก่อนจะสลบไปนางคล้ายได้ยินเสียงร้องด้วยความเป็นห่วงจากคนจำนวนมาก
“ฟื้นแล้วๆ”
เยี่ยเหมยขยับเปลือกตา ริมโสตได้ยินเสียงอุทานดีใจดังเป็นชุด โหวกเหวกจนนางหลับต่อไปไม่ได้จึงลืมตาขึ้นมา
“พี่รอง…” เยี่ยหย่วนที่เบ้าตาเรื่อแดงเพิ่งจะร้องเรียกได้คำเดียวก็ถูกภรรยาต้าเหอลากตัวออกมา
“อาหย่วน เจ้าเฝ้ามาทั้งคืนแล้ว รีบไปพักผ่อนก่อน ตรงนี้ให้ข้าดูแลเอง อาเหมย เจ้าฟื้นแล้วหรือ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่ อยากกินอะไร ข้าตุ๋นน้ำแกงไก่มา เจ้าดื่มบำรุงร่างกายสักหน่อยดีหรือไม่ จริงสิ ข้านึกได้แล้ว ซื่อฮวา รีบมาโขกศีรษะขอบคุณพี่สาวเร็วเข้า ถ้ามิใช่นางถ่ายทอดปราณหยางให้เจ้า เจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”
ภรรยาต้าเหอไม่เพียงแต่พูดตรงพูดเร็ว การกระทำก็ทั้งตรงทั้งเร็วยิ่งกว่า เพิ่งจะพูดจบ เยี่ยเหมยก็ถูกกึ่งลากกึ่งประคองให้ลุกขึ้นนั่งเอนบนเตียงเตาแล้ว ครั้นช้อนตามองไปก็เห็นด้านล่างเตียงมีเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งคุกเข่าโขกศีรษะเสียงดังสามที
“รีบลุกขึ้น นี่มันเรื่องอะไรกัน” เยี่ยเหมยกุมขมับ สมองยังมึนงงเลอะเลือนอยู่บ้าง ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
ภรรยาต้าเหอยกชามน้ำแกงไก่มาให้เยี่ยเหมยอย่างรวดเร็ว ป้อนไปพลางเล่าเรื่องราวหลังนางสลบไปพลาง
พอเยี่ยเหมยสลบไปก็ทำเอาเยี่ยหย่วนตกใจแทบแย่ เขากอดนางร้องไห้โฮไม่ยอมปล่อยมือ โชคดีที่หมอเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านเกาจยารุดตามมาถึง หลังจับชีพจรให้เยี่ยเหมยกับเกาซื่อฮวาแล้วก็บอกให้คนทั้งหลายรู้ว่าทั้งสองคนไม่เป็นอะไรมาก คนหนึ่งถูกดึงตัวกลับมาจากประตูผีแล้ว ส่วนอีกคนก็เพียงแต่เหน็ดเหนื่อยจนหมดสติไปด้วยความอ่อนเพลีย
เยี่ยเหมยช่วยชีวิตเกาซื่อฮวาเอาไว้ ภรรยาต้าเหอมีนิสัยมีบุญคุณต้องตอบแทน นางกับเกาต้าเหอจึงรีบอุ้มคนทั้งสองกลับมาบ้านทันที
สองคนยังคุยกันไม่ทันจบก็พลันมีเสียงตะโกนด่าทอเสียดแหลมดังมาจากด้านนอก “เจ้าคนไร้ทายาทสืบสกุลคนไหนขโมยไก่ของข้าไป…” ถ้อยคำไม่น่าฟังชุดหนึ่งลอยเข้ามาในห้อง แววเจาะจงเป้าหมายในวาจานั้นไม่ต้องพูดชัดก็เข้าใจได้
มือที่ป้อนน้ำแกงไก่ให้เยี่ยเหมยของภรรยาต้าเหอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะวางชามลงบนโต๊ะเตี้ยบนเตียงแล้วเดินออกไปทันที ไม่ถึงชั่วครู่ก็ได้ยินนางทะเลาะกับคนข้างนอก
เสียงของทั้งสองไม่เบา จึงทำเอาเกาซื่อฮวาที่ตามหลังไปหลบเข้าห้องมากับเด็กผู้หญิงอีกคนที่อายุน้อยกว่าที่ตกใจจนขดตัวอยู่ด้านล่างเตียงเตาไม่กล้าขยับเขยื้อน ทว่าเห็นสีหน้าของเด็กทั้งสองแล้วกลับดูท่าทางไม่ค่อยแปลกใจ
“ซื่อฮวา พาน้องสาวมากินน้ำแกงไก่มา คนที่ทะเลาะกับท่านแม่อยู่ข้างนอกเป็นใครหรือ” เยี่ยเหมยเชี่ยวชาญการเกลี้ยกล่อมหลอกล่อเด็กและคนชรา ซ้ำชาตินี้ยังมีรูปร่างหน้าตางดงาม พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เด็กทั้งสองลดความระมัดระวังต่อนางลงได้แล้ว
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องเก่าๆ ที่คนด้านนอกฟื้นฝอยขึ้นมาขณะมีปากเสียงกันเข้ากับข้อมูลขาดๆ หายๆ ที่เกาซื่อฮวาให้มา เยี่ยเหมยก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวเกาต้าเหอได้เลาๆ
ครอบครัวเกาต้าเหอเป็นพี่น้องผู้ชายสองคน เกาต้าเหอกับภรรยาแต่งงานมาสิบเจ็ดปี ให้กำเนิดบุตรสาวห้าคน แต่ไม่มีบุตรชายแม้แต่คนเดียว ส่วนเกาเสี่ยวเหอผู้เป็นน้องชายแต่งงานมาเก้าปี ภรรยาเสี่ยวเหอกลับเอาการเอางาน เด็กสองคนที่ให้กำเนิดล้วนเป็นบุตรชาย
ภรรยาเสี่ยวเหอเดิมทีก็เป็นพวกชอบยุให้รำตำให้รั่ว คราวนี้ยิ่งยืดอกเดินกร่างในบ้านสกุลเกาได้มากกว่าเก่า ยุยงมารดาต้าเหอที่ให้ความสำคัญกับหลานชายมากกว่าหลานสาว วันๆ เอาแต่จับผิดภรรยาต้าเหอกับบุตรสาวทั้งหลาย
หลายปีมานี้ภรรยาต้าเหอที่นิสัยเถรตรงต้องอดทนอดกลั้นสารพัดเนื่องจากตนเองไม่มีบุตรชายให้สกุลเกา คิดไม่ถึงว่าตอนเที่ยงเมื่อวานมารดาต้าเหอจะบอกว่าหลานชายสุดที่รักอยากกินปลาบึงน้ำหนาว ซ้ำยังเจาะจงให้ซื่อฮวาเป็นคนไปจับ แต่พอไปเกาซื่อฮวาก็หวิดชีวิตจะหาไม่
ครอบครัวสกุลเกาไม่ได้แยกบ้านกันอยู่ งานทั้งหมดในบริเวณบ้านล้วนเป็นของเกาต้าเหอสามีภรรยาและเหล่าบุตรสาว ไก่สามสิบกว่าตัวในลานเรือนเป็นภรรยาต้าเหอขนกลับมาจากบ้านเดิม ปกติก็ล้วนได้เกาเอ้อร์ฮวาและเกาซานฮวาให้อาหาร แต่พวกบุตรสาวกลับไม่เคยได้กินแม้แต่ไข่ ตอนนี้เชือดไก่มาให้ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตบำรุงร่างกายไปแค่ตัวเดียวก็ถูกภรรยาเสี่ยวเหอมาพาลด่ากราด ภรรยาต้าเหอจึงระเบิดโทสะออกมาในที่สุด
เยี่ยเหมยไม่กระจ่างในพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ของตำบลหยางหลิ่ว ทว่าเกาซื่อฮวากับเกาอู่ฮวาที่อยู่ตรงหน้านางมองเห็นชัดกระจ่างตา เพิ่งจะพ้นเดือนหนึ่ง อากาศเช่นนี้นางสวมเสื้อบุนวมตัวบางยังรู้สึกหนาว แต่บนร่างเกาซื่อฮวามีเพียงชุดผ้าป่านที่มีรอยปะหลากสีสันบดบังสีเดิมเพียงตัวเดียว เนื้อตัวที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนกับผู้ประสบภัยในแอฟริกาอย่างไรอย่างนั้น กระดูกอกที่นูนออกมาเพราะได้รับการบำรุงไม่เพียงพอก็ใกล้จะโปนไปถึงขอบฟ้าแล้ว เห็นแล้วช่วยให้คนอดสงสารไม่ได้ ครั้นมองลอดหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ออกไป เสื้อบุนวมปักลายละเอียดตัวใหม่เอี่ยมที่ไม่มีรอยปะสักรอยของภรรยาเสี่ยวเหอก็แยงสายตาเป็นพิเศษ
“อาสะใภ้ต้าเหอ นี่เป็นเงินสองตำลึง ให้พี่รองของข้าพักในบ้านพวกท่านสักสองวันได้หรือไม่” เยี่ยหย่วนที่ไปพักอยู่ห้องด้านข้างได้ไม่นานกลับมายืนตรงประตูพลางพูดประโยคนี้ขึ้นอย่างระมัดระวัง
“อาหย่วน เจ้าพูดอะไรอย่างนี้ อาเหมยเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตซื่อฮวาของพวกเราไว้ อย่าว่าแต่สองวันเลย ต่อให้อยู่สองเดือนข้าก็ไม่อาจรับเงินนี้ไว้ได้” ภรรยาต้าเหอเดิมก็เป็นคนมีน้ำใจ จึงทำหน้าเข้มบอกให้เยี่ยหย่วนเก็บเงินกลับไปโดยไม่สนจะทะเลาะกับน้องสะใภ้ต่ออีกทันที
ใครเลยจะรู้ว่าการเคลื่อนไหวของภรรยาเสี่ยวเหอเองก็หาช้าไม่ เพียงสองสามก้าวก็พุ่งมาถึงหน้าภรรยาต้าเหอ รับเงินในมือเยี่ยหย่วนไป อีกทั้งยังเอาเข้าปากกัดดูอย่างแรง จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างเหมือนดอกไม้บานออกมาทันควัน “วางใจเถอะ เงินนี้มากพอจะให้พี่สาวเจ้าอยู่ได้หลายวันเชียว”
ภรรยาต้าเหอคิดจะแย่งกลับมา แต่ภรรยาเสี่ยวเหอกลับหมุนตัวเดินเข้าห้องใหญ่ “ท่านแม่ ห้องว่างทางฝั่งพี่สะใภ้ถูกเช่าไปแล้ว นี่เป็นค่าเช่าเจ้าค่ะ”
เยี่ยหย่วนโบกมือให้ภรรยาต้าเหอที่มีท่าทางละอายใจก่อนพูดอย่างเร่งรีบอยู่บ้าง “อาสะใภ้ สองวันนี้ท่านช่วยดูแลพี่รองของข้าให้มากสักหน่อย”
ภรรยาต้าเหอถอนหายใจก่อนเดินตามเข้าไปในห้องใหญ่ คิดว่าคงจะรีบไปอธิบายกับแม่สามีเพิ่มเติม
เยี่ยหย่วนขมวดคิ้วเดินเข้าห้องที่เยี่ยเหมยพักอยู่ชั่วคราว เกาซื่อฮวาก็ยกชามใหญ่ที่ว่างเปล่าแล้วจูงเกาอู่ฮวาเดินออกมาพอดี
“วันนี้ข้ารีบร้อนมา ในตัวมีเพียงสองตำลึงนั้น ท่านพักอยู่ที่นี่อย่างวางใจเถอะ ข้าจะไปหาเงินมาให้ท่าน”
เยี่ยหย่วนเดิมก็เป็นหนุ่มน้อยคิ้วเข้มตาโต หน้าตาท่าทางองอาจผึ่งผาย ทว่าดันเอาแต่ทำท่าทางดุร้ายรังเกียจเดียดฉันท์นาง…เรื่องนี้ช่างเถอะ ด้วยเบ้าตาที่เรื่อแดงและเสียงที่กำลังอยู่ในช่วงแตกหนุ่มของเขาได้ทำลายท่าทางดุร้ายที่เขาต้องพยายามปั้นขึ้นอย่างยากลำบากไปแทบสิ้นแล้ว
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเหมยที่กำลังคิดว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรก็ทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา ลูบท้องน้อยเบาๆ พลางว่า “ลูกเอ๋ย น้าของเจ้ารักแม่เจ้ากับเจ้ายิ่งนัก” ไม่อาจไม่พูดว่าเด็กคนนี้มีพลังชีวิตกล้าแข็งโดยแท้ ผ่านเรื่องต่างๆ มามากขนาดนี้ยังสามารถอยู่ในท้องของนางได้อย่างมั่นคงปลอดภัย มือลูบลงไปก็คล้ายว่าสามารถสัมผัสได้ถึงจังหวะเคลื่อนไหวของชีวิต
“มิใช่สักหน่อย!” เยี่ยหย่วนเขินอายจนกลายเป็นโกรธ “ข้า…ข้าแค่ไม่อยากให้อี๋เหนียงเสียใจเพราะท่าน”
“ก็ได้ๆ ข้ารู้แล้ว” ครั้นนึกถึงอี๋เหนียงสี่ขึ้นมา เยี่ยเหมยก็ไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นแล้วเช่นกัน ทว่าอากัปกิริยาของน้องชายคนนี้ก็ทำให้นางอบอุ่นในใจโดยแท้ มีหนุ่มน้อยอายุสิบสองสิบสามในชาติที่แล้วคนไหนบ้างที่รู้ความถึงเพียงนี้
เยี่ยหย่วนกวาดตามองบนเตียงเตาก็เห็นห่อผ้าสัมภาระติดตัวเยี่ยเหมยเข้าพอดี พลันนึกขึ้นได้ว่าคืนก่อนตอนเขาช่วยเก็บข้าวของได้เผลอใส่หนังสือลงไปด้วย จึงรีบชี้ห่อผ้านั้นพลางเอ่ย “ในห่อผ้ามีหนังสือของสำนักศึกษาที่ข้าต้องเอาไปด้วยอยู่สองเล่ม ท่านหยิบออกมาให้ข้าที”
ตำรารวมข้อสอบเก่าเล่มนั้นเยี่ยเหมยอ่านไม่เข้าใจก็ไม่คิดจะอ่านต่อ แต่บันทึกอาณาจักรต้าฉี่กลับเป็นหนังสือดีอันหาได้ยาก นางสามารถทำความเข้าใจโลกที่ตนเองอยู่นี้ผ่านหนังสือเล่มนี้ได้ ทำให้ไม่ถึงขั้นสองตามืดบอดไม่รู้อะไรสักเรื่อง
เยี่ยเหมยกะพริบตา ดึงตำรารวมข้อสอบเก่าที่นางไม่ต้องการออกมา แสร้งทำท่าทางเสียดายพลางว่า “อาหย่วน เจ้าก็รู้ว่าบัดนี้ข้าถูกท่านพ่อไล่ออกจากสกุลเยี่ย ไม่มีความรู้หาเลี้ยงชีพ ยังดีเคยเรียนเย็บปักจากท่านแม่มา ภาพดอกไม้ใบหญ้าในหนังสืออีกเล่มงดงามยิ่งนัก ให้ข้าไว้เป็นแบบปักผ้าได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้เงินมาบ้าง มีเงินเลี้ยงหลานของเจ้า”
เยี่ยหย่วนได้ฟังดังนี้ หน้าก็แทบยับยู่เป็นก้อนเดียว ในใจให้ตีกันยุ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เก็บตำรารวมข้อสอบเก่ากลับไปก่อนทำหน้าตึงกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะคิดหาทางหาเงินให้ท่าน ท่านอย่าเอาแต่นั่งคิดเหลวไหล หนังสือเล่มนั้นท่านอยากได้ก็เก็บไว้เถอะ เพียงแต่ต้องระวังหน่อย ห้ามชำรุดเสียหายเด็ดขาด!”
“อื้อ วางใจเถอะอาหย่วน ข้าจะดูแลรักษาอย่างดี” เยี่ยเหมยยิ้ม มือชี้ตราประทับดวงเล็กสีแดงบนปกหนังสือพลางเอ่ยอีกประโยคด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ตรานี้ก็งามยิ่งนัก เดี๋ยวข้าจะปักมันลงบนแผ่นรองรองเท้าที่จะทำให้เจ้า” พวกงานปักด้ายอะไรเหล่านี้เยี่ยเหมยคิดว่าตนเองพอทำไหว
คาดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะพูดจบ เยี่ยหย่วนก็ถลึงตาโต กลั้นหายใจจนหน้าแดงเถือก “ถ้าท่านกล้าปักนามของคุณชายสุยเฟิงลงบนแผ่นรองรองเท้าข้า ต่อไปข้าจะไม่สนใจท่านอีก!”
ร้ายแรงเพียงนี้เชียว? หรือว่าคุณชายสุยเฟิงจะไม่ได้เป็นเพียงบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเล็กน้อยเท่านั้น
เรื่องนี้กลับชักนำให้เยี่ยเหมยอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น “คุณชายสุยเฟิงเก่งมากหรือ”
ถ้ามิใช่เยี่ยเหมยเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตนเอง แค่ถามคำถามนี้ออกมาเยี่ยหย่วนก็คงด่านางว่าผมยาวแต่หยักสมองสั้นไปหลายประโยคแล้ว คุณชายสุยเฟิงคือบัณฑิตอัจฉริยะชื่อดังของเมืองเซิ่งโจวตลอดจนอาณาจักรต้าฉี่ ไฉนจึงมีคนไม่รู้จักเขาด้วย
เยี่ยหย่วนลืมไปชั่วขณะว่าพี่สาวของตนเป็นเพียงสตรีชนบทไร้ความรู้ จึงแค่นเสียงพูดด้วยความไม่พอใจ “คุณชายสุยเฟิงมีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้าตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน เพื่อศักดิ์ศรีของเหล่าบัณฑิต เขายอมที่จะไม่รับคำเรียกขานว่าจ้วงหยวน ไม่รับตำแหน่งขุนนางใหญ่เบี้ยหวัดดี เขาคือแบบอย่างของพวกเราเหล่าบัณฑิต!”
เยี่ยเหมยได้ฟังกลับรู้สึกว่าคุณชายสุยเฟิงเป็นคนโง่
“ศึกษาเล่าเรียนมิใช่เพื่อสอบรับราชการ เป็นขุนนางใหญ่ได้เงินดีหรอกหรือ”
“ท่าน…” คราวนี้เยี่ยหย่วนหมดคำจะตอบโต้แล้ว จึงสะบัดแขนเสื้อทิ้งเยี่ยเหมยเดินจากไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments