“พี่สะใภ้เสียง ท่านคันตัวมานานเท่าใดแล้ว” ท่าทางเกาที่คันของนางทำให้เยี่ยเหมยใจกระตุก พลันนึกถึงโรคที่เกิดกับหญิงมีครรภ์โรคหนึ่งขึ้นได้ เพียงแต่นางยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความลังเล
“ราวหนึ่งเดือนแล้วกระมัง” ภรรยาเกาเสียงยิ้มเก้อกระดากให้เยี่ยเหมย ในแววตาเปี่ยมไปด้วยแววอบอุ่น พลางพูดเสียงเบา “ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้อะไร ตอนแรกเริ่มคันที่ท้อง ตอนนี้กลายเป็นคันไปทั้งตัว มือเท้าก็แทบจะเกาจนเยินแล้ว ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งคันจนนอนไม่หลับทั้งคืน”
เยี่ยเหมยยิ่งสงสัยหนักขึ้น ดูจากเวลาเกิดโรคและอาการโรคของภรรยาเกาเสียงเหมือนเป็นภาวะน้ำดีอุดตันในตับขณะตั้งครรภ์อย่างยิ่ง โรคชนิดนี้ไม่เพียงจะส่งผลต่อการพักผ่อนและการใช้ชีวิตของสตรีมีครรภ์ ยังจะทำให้เกิดอาการตกเลือดและเด็กตัวเหลืองหลังคลอดด้วย
ชาติก่อนตอนเยี่ยเหมยเป็นพี่เลี้ยงเด็กเคยดูแลคุณแม่หลังคลอดและทารกแรกคลอดที่มีอาการเช่นนี้ สมัยศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดซึ่งการแพทย์พัฒนาแล้วยังนับเป็นโรคความเสี่ยงสูงสำหรับสตรีมีครรภ์ มาเกิดขึ้นในยุคสมัยที่การแพทย์ล้าหลังไหนเลยจะมิใช่การตัดสินโทษตายให้ว่าที่มารดาผู้อ่อนโยนนางนี้
ภรรยาเกาเสียงเห็นเยี่ยเหมยอึ้งงันไปก็นึกว่าตนทำให้สตรีงดงามที่มีครรภ์เช่นเดียวกันนางนี้ตกใจเข้าแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน ตบที่นั่งข้างตัวพลางว่า “ท้ายเรือลมแรง น้องเยี่ยมานั่งตรงนี้จะดีกว่า พวกเราสองคนจะได้คุยกันสะดวก จริงสิ พ่อของเด็กเล่า ไฉนจึงไม่ได้มากับเจ้า”
เยี่ยเหมยกับเยี่ยหย่วนไม่ได้บอกเรื่องฐานะของตนต่อคนในหมู่บ้านเกาจยา เพียงแต่บอกว่ามาหาญาติแต่ไม่พบ จึงพักอยู่บ้านเกาต้าเหอชั่วคราว ผู้อื่นแม้จะไม่รู้เรื่องของนาง แต่ส่วนใหญ่กลับมีท่าทางเหมือนภรรยาเสี่ยวเหอ เห็นเยี่ยเหมยก็มักใช้แววตาเหยียดหยามมองนาง กลับเป็นภรรยาเกาเสียงซึ่งเพิ่งได้พบหน้ากันครั้งแรกนี้ที่ในดวงตาไม่มีแววดูหมิ่นใดๆ สักกระผีก มองนางด้วยสายตานุ่มนวลอ่อนโยน คล้ายว่าเป็นการคุยเล่นกันระหว่างสตรีมีครรภ์สองคนเท่านั้น
ก่อนนางจะหาทางออกได้ ยังไม่แน่ว่านางอาจต้องอยู่ที่หมู่บ้านเกาจยาระยะยาวเพื่อลูก เยี่ยเหมยลอบเหลือบมองบุรุษไม่กี่คนที่หัวเรือแวบหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มกว้าง ลูบท้องน้อยที่ยังไม่นูนขึ้นมาของตนเองก่อนกล่าวกับภรรยาเกาเสียง ซึ่งนับว่าเป็นการพูดให้ท่านสามเกาฟังด้วยเช่นกัน “พี่สะใภ้เสียง เด็กคนนี้ไม่มีพ่อ”
“ไม่มีพ่อ? เช่นนั้นเจ้าเป็นหญิงตัวคนเดียวจะเลี้ยงลูกอย่างไร” ภรรยาเกาเสียงตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ได้ซักถามเรื่องพ่อของเด็กให้มากไปด้วยความอาทรใส่ใจ เปลี่ยนมาแสดงความห่วงกังวลอย่างรวดเร็ว
ความห่วงกังวลเช่นนี้ไม่มีทางทำให้คนรู้สึกต่อต้าน กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นใจด้วยซ้ำไป เยี่ยเหมยพบว่าการทะลุมิติอันน่าเศร้านี้ยังมีเรื่องที่ควรค่าแก่การจดจำมากมาย อย่างน้อยผู้คนที่นางประสบพบเจอก็มิได้เย็นชาเห็นแก่ตัวเกินไป
เยี่ยเหมยยิ้มด้วยท่าทางมั่นใจในตนเอง “คนเรายังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีหนทาง ตราบใดที่ข้ามีกิน เด็กก็ไม่มีทางหิว” พูดจบก็มองเยี่ยหย่วนที่นั่งเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวทางด้านนี้อยู่ท้ายเรือ รอยยิ้มนางยิ่งกดลึก “ยิ่งกว่านั้นข้ายังมีน้องชายคนดีที่มีอนาคตอยู่อีกทั้งคน”
ครั้นพูดจบ แม้เยี่ยหย่วนจะไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่กลับยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว หูเองก็ขึ้นสีแดงก่ำ
ภรรยาเกาเสียงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างมาก “นั่นสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอาหย่วนเรียนที่สำนักศึกษาปั้นซาน แม้แต่ข้าที่ไม่ได้ไปเมืองเซิ่งโจวบ่อยนักก็ยังรู้ว่านั่นเป็นสำนักศึกษาที่ดีอันดับต้นๆ ของที่นั่น คนตั้งมากมายหอบเงินไปให้ยังไม่แน่ว่าจะเข้าเรียนได้ อาหย่วนจะต้องมีอนาคตไกลแน่นอน”