“สำนักศึกษาปั้นซานดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ” เยี่ยเหมยพึมพำเสียงเบา สำนักศึกษาที่แม้แต่หญิงชนบทที่อยู่ไกลตัวเมืองเพียงนี้ยังรู้จักชื่อจะต้องไม่ต่างกับโรงเรียนชื่อดังในชาติก่อนของนางแน่นอน การจะเข้าโรงเรียนดังน่าจะต้องใช้เงินไม่น้อยกระมัง
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรด่าเยี่ยหย่วนว่าซื่อหรือบื้อดี ถึงกับพูดว่าจะไม่ไปก็ไม่ไปจริงๆ
เรือไม้ลำไม่นับว่าใหญ่ ต่อให้ภรรยาเกาเสียงกับเยี่ยเหมยลอบกระซิบกระซาบคุยกันก็ยังดังไปเข้าหูท่านสามเกาที่อยู่ไม่ไกลอยู่ดี
ได้ยินเยี่ยเหมยพูดว่าเยี่ยหย่วนเล่าเรียนที่สำนักศึกษาปั้นซานอีกครั้ง หัวคิ้วที่ก่อนหน้านี้ขมวดมุ่นก็ค่อยๆ คลายออก พอได้ยินเยี่ยเหมยกระซิบพึมพำด้วยความสนเท่ห์ก็ยังยกมุมปากน้อยๆ ก่อนเรียกเยี่ยหย่วนให้มานั่งข้างกาย เอ่ยทดสอบความรู้ของอีกฝ่ายทันที
ภรรยาต้าเหอขยับมากระซิบกลั้วหัวเราะข้างหูเยี่ยเหมย “ท่านสามเกาเป็นซิ่วไฉ แต่หมู่บ้านเกาจยาของพวกเรากลับไม่มีบัณฑิตคนอื่น พอเขาเจอคนเล่าเรียนเหมือนกันจึงอยากจะแลกเปลี่ยนความรู้ด้วย”
ขณะที่พูด ทางด้านท่านสามเกาก็พลันส่งเสียงร้องออกมา ตบบ่าผ่ายผอมบอบบางของเยี่ยหย่วนพลางชมเปาะไม่ขาดปาก “ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาปั้นซาน อายุยังน้อยแต่ความรู้ถึงกับแน่นกว่าอาจารย์ในหมู่บ้านเสียอีก ไม่เลวๆ ไม่แน่นะอาหย่วน เจ้าอาจจะกลายเป็นคุณชายสุยเฟิงคนที่สองของเมืองเซิ่งโจวก็เป็นได้”
เยี่ยหย่วนส่ายหน้าด้วยท่าทีเคร่งครัด “คุณชายสุยเฟิงเป็นอัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ ข้าไหนเลยจะเทียบกับเขาได้” พูดถึงคุณชายสุยเฟิง ใบหน้าเรียบๆ ของเยี่ยหย่วนก็คล้ายว่าเปล่งประกายขึ้นมา แววกระตือรือร้นเลื่อมใสศรัทธาในดวงตาปรากฏขึ้นทันที
“อาหย่วน อย่าดูถูกตนเองจนเกินไป เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าแม้คุณชายสุยเฟิงจะสอบเป็นซิ่วไฉได้ตอนอายุสิบสอง เป็นจวี่เหรินได้ตอนสิบห้า เป็นก้งซื่อได้ตอนสิบแปด แต่ก็ถือดีว่าตนเองเก่งกาจจนไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์มากอำนาจในเมืองหลวงเข้า ทำให้พลาดการสอบระดับเตี้ยนซื่อ ต่อมาเลยเดินทางไปศึกษายังแดนไกลด้วยความเสียใจ ไม่กี่ปีมานี้เงียบหายไร้ข่าวคราว บากบั่นเล่าเรียนเป็นสิบปี ถึงเวลากลับตกม้าตาย อาหย่วนอย่าไปเอาอย่างเขา” พูดจบท่านสามเกาก็ตบบ่าเยี่ยหย่วนอีกครั้ง นึกถึงคุณชายสุยเฟิงที่เคยมีชื่อเสียงโจษจันในเมืองเซิ่งโจวเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ให้สะทกสะท้อนใจขึ้นมาเช่นกัน
“ความจริงมิใช่เช่นนั้น คุณชายสุยเฟิงเป็นศิษย์ปิดสำนักของอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาของพวกข้า ตามคำบอกของอาจารย์ใหญ่ ก่อนการสอบระดับเตี้ยนซื่อ คุณชายสุยเฟิงถูกเสนาบดีชีจงใจกลั่นแกล้งถึงทำให้เขาพลาดสอบ ทว่าถึงคุณชายสุยเฟิงจะออกท่องต่างแดน แต่นั่นก็เพียงเพื่อการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น ท่านไม่เคยเห็นภาพวาดอักษรกลอนของเขา ต่อให้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาปั้นซานก็ยังต้องอับอายที่สู้ไม่ได้ ในบันทึกอาณาจักรต้าฉี่ที่เขาคัดมามีคำอธิบายอันลึกซึ้งปรุโปร่งเขียนเอาไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไร หากเขายังเป็นบัณฑิตที่มีความรู้คับแคบ ไหนเลยจะสามารถเขียนออกมาได้…” เพื่อปกป้องชื่อเสียงบุคคลต้นแบบในความคิด เยี่ยหย่วนที่มีแต่ความหวังดีให้ผู้อื่นตลอดมาก็อดจะเถียงหน้าแดงคอเป็นเอ็นไม่ได้
คราวนี้เยี่ยเหมยถึงได้รู้ว่าหนังสือเล่มที่นางขอมาเป็นแบบจากเยี่ยหย่วนเป็นคุณชายสุยเฟิงคัดลอกและเขียนคำอธิบายด้วยตนเอง อีกทั้งฟังจากคำพูดของพวกเขา คุณชายสุยเฟิงท่านนี้ยังเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนอีกด้วย อีกแค่ก้าวเดียวก็อาจสอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อ แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทว่าดูเหมือนความคิดจิตใจของคนผู้นี้จะยังใช้ได้ ไม่ได้อ่อนไหวเอาแต่เศร้าเสียใจ กลับออกท่องใต้หล้าศึกษาเล่าเรียนเพื่อเขียนคำอธิบายในตำราของคนรุ่นก่อน
เห็นท่าทางร่ายเหตุผลเข้าสู้เต็มที่ของเยี่ยหย่วน ในห้วงสมองเยี่ยเหมยก็ปรากฏภาพบัณฑิตวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ประมาณหลี่ไป๋ในความทรงจำ ลูบเครา เอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองภูเขาแม่น้ำ
คิดถึงตรงนี้เยี่ยเหมยก็ตัดสินใจกับตนเองว่าถ้ามีเวลาว่างจะต้องอ่านงานของเขาอย่างละเอียดทุกตัวอักษรให้ได้
พอเยี่ยหย่วนกับท่านสามเกาได้เริ่มคุยกัน การเดินทางก็หายน่าเบื่ออย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งชั่วยามให้หลังเรือไม้ก็อ้อมผ่านหมู่เขาซับซ้อนทอดยาวมาถึงท้องน้ำกว้างใหญ่ในที่สุด บนสะพานที่อยู่ห่างออกไปไกลมีคนเดินเท้าและรถม้าสลับปะปนต่อกันเป็นมังกรตัวยาวมองไม่เห็นปลายหาง มุ่งหน้าไปยังเงาชายคาเลือนรางที่อยู่ไกลออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 พ.ค. 62