ต้นยามเซิน เยี่ยเหมยที่ถูกจั่นอวิ๋นหยางวางทิ้งไว้ด้านข้างมานั่งดูทิวทัศน์อยู่ภายในโรงเตี๊ยมที่นัดแนะกันไว้แล้ว
เยี่ยหย่วนวิ่งมาพร้อมกับเหงื่อกาฬเต็มศีรษะ หลังมองเห็นนางก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ หน้าเรื่อแดง เกาศีรษะก่อนว่า “ข้า…ขอโทษ ข้าลืมไปว่าท่านไม่เคยมาเมืองเซิ่งโจว”
“ไม่เป็นไร ข้าเดินกลับตามทางเดิม ไม่นานก็ออกมาได้แล้ว” เยี่ยเหมยเทน้ำให้เขาถ้วยหนึ่งอย่างเอาใจใส่ นางเอ็นดูเยี่ยหย่วนอย่างที่สุด เด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยคนหนึ่งงอนนาง แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็นห่วงเป็นใยนาง ไม่อึดอัดบ้างหรือไร
ขณะสองพี่น้องคุยกัน เกาเสียงก็ประคองภรรยาเดินมาทางนี้ทีละก้าว ฝ่ายหลังแย้มยิ้มซาบซึ้งให้เยี่ยเหมยแต่ไกล “ต้องขอบใจน้องสาวสกุลเยี่ยมากที่เตือน หมอที่โรงหมอหุยชุนเขียนใบสั่งยาให้ข้าแล้ว!”
แม้ว่าคนสกุลเกาจะปิดบังภรรยาเกาเสียงเรื่องที่นางอาจจะตายทั้งกลม แต่นางก็มิใช่คนโง่ หมอจากตำบลหยางหลิ่วไม่กล้าแม้แต่จะเขียนใบสั่งยา นางไหนเลยจะไม่กังวลได้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว มีหมอกล้าเขียนใบสั่งยาก็เป็นการรับรองว่าอย่างน้อยคนเขาก็มั่นใจในโรคของนางอยู่บ้าง
“เขียนใบสั่งยาแล้ว! เป็นเรื่องจริงหรือ” ผู้ที่ส่งเสียงอุทานนำมาคือท่านสามเกาที่เพิ่งเดินออกมาจากเรือนหลังร้าน หนวดเคราสีดอกเลาสั่นระริก ดูท่าทางตื่นเต้นพลุ่งพล่านอย่างยิ่ง
เวลานี้เกาเสียงเองก็ตื่นเต้นเป็นที่สุดเช่นกัน หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นมานานคลายออก พยักหน้าหงึกหงักพลางกล่าวว่า “จริงสิขอรับ วันนี้ข้ากับภรรยาเดินเข้าโรงหมอสามแห่งที่อยู่ติดกัน แต่หมอล้วนพูดไม่ต่างกับหมอจากตำบลหยางหลิ่ว บอกว่าพวกเราให้ภรรยากินดื่มแย่ ให้กลับไปดูแลอาหารการกินของนาง จนกระทั่งไปถึงโรงหมอหุยชุนซึ่งเป็นแห่งที่สี่ เดิมทีหมอที่ประจำอยู่ก็พูดไม่ต่างกับหมอก่อนหน้านี้ พวกข้าจึงได้แต่เดินกลับออกมา หากแต่ภรรยานึกถึงคำของน้องสาวสกุลเยี่ยก่อนเข้าเมืองขึ้นได้ ก็เลยถามเพิ่มไปอีกประโยค”
พูดถึงตรงนี้เกาเสียงก็มองเยี่ยเหมยด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนพูดต่อไปว่า “หมอผู้นั้นมีท่าทางไม่พอใจอย่างมาก ไล่พวกข้าไปไม่ขาดเสียง แต่พอดีว่ามีหมอแซ่เถียนเดินกลับเข้ามาจากด้านนอก มองเห็นหมอผู้นั้นมีสีหน้าท่าทางโมโหขุ่นเคือง จึงเอ่ยถามหมอผู้นั้นสองสามประโยค จากนั้นก็พาข้ากับภรรยาไปที่โถงด้านหลัง ตรวจดูได้ครู่ใหญ่ท่านหมอเถียนก็พลันกระโดดโลดเต้นพูดว่า ‘ปัญหามาจากตับจริงๆ ถึงกับเป็นการอุดตัน’ จะอย่างไรข้าเองก็ฟังไม่เข้าใจ หลังจากท่านหมอเถียนใจเย็นลงก็ซักถามรายละเอียดอีกมากมายถึงค่อยจับพู่กันเขียนใบสั่งยาให้ภรรยา บอกว่าให้กินยาห้าวันแล้วกลับไปตรวจอีกครั้ง”
“เป็นภาวะน้ำดีอุดตันในตับขณะตั้งครรภ์จริงๆ?!” เยี่ยเหมยไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดว่าตนเองบังเอิญเดาถูกพอดีหรือควรพูดว่าตนเองปากไม่เป็นมงคลถึงกับบอกได้ตรงจุด ไม่รู้เหมือนกันว่าผลลัพธ์นี้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายของภรรยาเกาเสียงกันแน่
“โรคนี้มีชื่อด้วยหรือ ไฉนข้าจึงไม่ได้ยินท่านหมอเถียนเอ่ยถึง” อาจเป็นเพราะมีหมอเขียนใบสั่งยาให้แล้ว ภรรยาเกาเสียงจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา นึกถึงความรู้สึกรอดชีวิตจากความตายของตนเองขณะหมอเขียนใบสั่งยา ภรรยาเกาเสียงก็แทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ถึงกับสะบัดมือสามีที่จับประคองมาตลอดออก ก้าวไปจูงเยี่ยเหมยเดินไปยังเรือไม้ที่จอดอยู่ริมฝั่ง
“ชื่อนี้ข้าตั้งขึ้นมามั่วๆ ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจ” เยี่ยเหมยหัวเราะไม่หยุดด้วยอารามร้อนตัว พลางจ้องหน้าท้องของภรรยาเกาเสียงพลางเปลี่ยนประเด็นไปว่า “พี่สะใภ้เสียง ท้องท่านใหญ่ขนาดนี้คงมิใช่เป็นเด็กแฝดกระมัง ท่านหมอได้บอกความเป็นไปได้นี้กับท่านหรือไม่”
“มิใช่หรอก ถ้าเป็นท้องแฝด หมอก็ตรวจรู้ตั้งแต่สามเดือนแล้ว กลับเป็นเจ้าเองเถิด ได้หาหมอให้ตรวจดูหรือไม่ บึงน้ำดำหลังหมู่บ้านน้ำเย็นเกินไป อย่าปล่อยทิ้งไว้จนเป็นโรคเรื้อรังเสียล่ะ”
บึงน้ำดำที่ภรรยาเกาเสียงเอ่ยถึงเป็นเขตแบ่งระหว่างหมู่บ้านเกาจยากับหมู่บ้านของเยี่ยเซิ่ง วันนั้นที่เยี่ยหย่วนลากเยี่ยเหมยออกจากคฤหาสน์สกุลเยี่ยมาด้วยความโกรธขึ้ง อันที่จริงก็มิได้ไปไหนไกลนัก เพียงแต่ห่างจากตำบลหยางหลิ่วมากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยเหมยไม่เคยคิดว่าจะมาหยุดที่หมู่บ้านเกาจยา และยิ่งอยู่พักชั่วคราวเนื่องจากครอบครัวต้าเหอ หากแต่ดูสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว นางไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จริงๆ
“วันนี้ข้าได้ไปหาหมอและได้ยาบำรุงครรภ์มาแล้ว พี่สะใภ้เสียง ระยะนี้ท่านตากแดดให้มากหน่อย แล้วก็กินพวกไข่แดงกับผักปวยเล้งบ้าง…”
สตรีสามนางรวมตัวกัน สองสตรีมีครรภ์รวมกับภรรยาต้าเหอที่กลับมาทีหลัง ต่างก็คุยกันครื้นเครงถูกคอ