“อี๋เหนียงมาแล้วหรือเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่จั่นเห็นหลินอี๋เหนียงกลับมิได้มีท่าทีเคารพนบนอบเสียเท่าไร นางขานรับเรียบๆ เสร็จก็สั่งการสาวใช้ให้เปลี่ยนตำแหน่งวางจานอาหารบนโต๊ะต่อ
หลินอี๋เหนียงโมโหจนกัดฟันกรอดไม่หยุด ก่อนจะพูดเหน็บขึ้นว่า “ช่างดูแลบ้านได้ไม่เลวเลยจริงๆ ท่านรองนานๆ กลับมาที เจ้าถึงกับยังจำได้ว่าเขาชอบกินเป็ดยัดไส้ข้าวเหนียวทอดกรอบกับปลากุ้ยนึ่งที่สุด ตายจริง อาหารตั้งมากขนาดนี้ ไฉนจึงไม่เห็นไก่แปดทรัพย์กับหมูสามชั้นตุ๋นที่อวิ๋นเผิงชอบเลยเล่า”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีขาวผ่องของสะใภ้ใหญ่จั่นแดงเถือกขึ้นมาในชั่วพริบตา
เฝิงหมัวมัวบ่าวคนสนิทที่ข้างกายเห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีก็รีบก้าวมาประคองหลินอี๋เหนียงพลางเอ่ยถาม “หลินอี๋เหนียงเดินมาจากที่ใดเจ้าคะ มีข่าวที่ท่านใหญ่ส่งกลับมาบ้างหรือไม่”
อันที่จริงข้างกายจั่นอวิ๋นเผิงกับหลินอี๋เหนียงล้วนมีคนของสะใภ้ใหญ่จั่นอยู่ มีข่าวส่งกลับมาหรือไม่ สะใภ้ใหญ่จั่นย่อมรู้ดีกว่าใคร เฝิงหมัวมัวถามเช่นนี้ก็เพียงเพื่อช่วยนางเท่านั้น
สะใภ้ใหญ่จั่นเองก็รู้ว่าตนเองตื่นเต้นดีใจจนละเลยสามีไปชั่วขณะ ทว่าเนื่องด้วยนิสัยส่วนตัว นางไม่มีทางกล่าวขอโทษใครเด็ดขาด จึงเพียงแต่แค่นเสียงพูดด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “โรงครัวตุ๋นหมูสามชั้นให้ท่านใหญ่แล้วเจ้าค่ะ อี๋เหนียงโปรดวางใจ”
“ก็ยังดี ถ้าเจ้าไม่มีแก่ใจจะดูแลอวิ๋นเผิง เช่นนั้นข้าก็จะหาคนที่ถูกใจไปไว้ข้างกายเขาสักสองคน กิจการของสกุลจั่นใหญ่โตเพียงนี้ อวิ๋นเผิงจะมีชิงฮุยเป็นลูกชายคนเดียวไม่ได้ อีกทั้งชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ก็ยัง…เป็นอย่างนั้น แล้วจะรับช่วงกิจการต่อได้อย่างไร” หลินอี๋เหนียงนึกถึงว่าจะอย่างไรเด็กทั้งสองก็เป็นหลานของตนเอง จึงรีบกลืนคำว่า ‘พิการ’ ที่เกือบหลุดปากออกมากลับลงไป
หลินอี๋เหนียงเห็นสะใภ้ใหญ่จั่นไม่กล้าเถียงประหนึ่งว่าถูกกระทุ้งจุดตายก็พอใจแล้ว หลังมองซ้ายขวารอบหนึ่งก็พูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ “เจ้าว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาเป็นคนโง่หรือไม่ คนหนึ่งยอมปล่อยโอกาสได้เอาใจนายท่านไป อีกคนก็ทุ่มเทความคิดแรงกายเตรียมงานเลี้ยงครอบครัวเต็มที่ พวกเจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าท่านรองเป็นบุตรชายสายตรงของสกุลจั่น เป็นบุตรชายที่นายท่านรักที่สุด” พูดไปพูดมาหลินอี๋เหนียงก็จ้องสะใภ้ใหญ่จั่นด้วยสีหน้าระแวง “หรือว่าข่าวลือเมื่อก่อนเป็นความจริง อันที่จริงเจ้าอยากแต่งให้ท่านรอง…”
“อี๋เหนียง ระวังวาจาด้วย!” สะใภ้ใหญ่จั่นถูกคำพูดของหลินอี๋เหนียงทำให้สะเทือนใจ ใบหน้าที่เมื่อครู่โมโหจนแดงเถือกกลายเป็นซีดขาว “ข้าแต่งให้ท่านใหญ่มาหกปี ทั้งยังให้กำเนิดเลี้ยงดูชิงฮุยและเยี่ยเอ๋อร์ ท่านรองเองก็หมั้นหมายกับญาติผู้น้องจากสกุลหลินแล้ว คำพูดเหลวไหลพรรค์นี้ไม่ควรออกมาจากปากของอี๋เหนียง อี๋เหนียงอยากให้ข้าขอให้พ่อสามีลงโทษท่านใช่หรือไม่”
หลินอี๋เหนียงหน้าเปลี่ยนสีไปหลายรอบ หันหน้ามองรอบข้าง เห็นว่าไม่มีบ่าวไพร่คนอื่นอยู่ก็ลดเสียงลงพูดหยันว่า “อย่านึกว่าตอนนี้เจ้าคุมส่วนในของสกุลจั่นแล้วก็ได้ใจไป นายท่านเคยบอกแล้วว่าขอเพียงท่านรองแต่งงาน เรือนส่วนในก็จะอยู่ในการควบคุมดูแลของสะใภ้รอง อีกทั้งถ้าท่านรองมีบุตรชายที่สมบูรณ์แข็งแรงได้ก่อน ทรัพย์สมบัติมหาศาลนี้ก็ไม่มีส่วนของ…สองคนนั้นของเจ้าแล้ว ถ้ายังรู้การควรไม่ควร เจ้าก็รีบหาอนุมาให้อวิ๋นเผิงสักสองคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีลูกชายสองสามคนออกมานำไปก่อนก็ได้”
“อี๋เหนียง ชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์เป็นหลานแท้ๆ ของท่านนะ!” สะใภ้ใหญ่จั่นไม่คิดหวังให้หลินอี๋เหนียงที่มองการณ์ไม่ไกลเข้าใจนางมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าคนเป็นย่าแท้ๆ ถึงแม้หลานจะมีอาการบกพร่องจริงๆ แต่ก็ไม่ควรรังเกียจเดียดฉันท์ปานนี้กระมัง
“หลานที่ใช้การไม่ได้จะมีไปทำไม” หลินอี๋เหนียงเห็นว่าตนเองเป็นต่อในที่สุด ก็ดีใจจนลืมตัวขึ้นมาทันที ไม่รู้สึกตัวเลยว่าวาจาของตนเองเหมาะสมหรือไม่