“ให้ใช้การไม่ได้อย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลจั่น! เจ้ามาพูดเหลวไหลไร้สาระอะไรอยู่ตรงนี้”
จั่นเจียงฉือเห็นบุตรชายคนรองที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ในใจกำลังลิงโลด สองพ่อลูกเดินคุยกันมาตลอดทาง คาดไม่ถึงว่าพอเดินมาถึงปากประตูโถงเฟิงเยี่ยจะได้ยินคำพูดรังเกียจเดียดฉันท์ของหลินอี๋เหนียง จึงอดจะโมโหจนตัวสั่นเทิ้มไม่ได้
จั่นอวิ๋นหยางรีบยื่นมือไปจับบิดาไว้ “ท่านพ่อ อย่าโมโหไปเลย ได้ยินว่าเถียนหนานซิงอดีตผู้ช่วยหัวหน้าสำนักหมอหลวงเชี่ยวชาญด้านการรักษาเด็กที่สุด ไม่นานมานี้ได้ลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด พี่สะใภ้ขอให้ใต้เท้าเจ้าเมืองออกหน้าช่วยแล้ว กำลังรักษาเด็กทั้งสองอยู่ คิดว่าไม่นานก็คงจะดีขึ้นได้” เมื่ออยู่ต่อหน้าจั่นเจียงฉือ จั่นอวิ๋นหยางมักปลดสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมยามอยู่ต่อหน้าคนนอกลง แสดงสีหน้าท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนออกมา
เนื่องจากความกตัญญูต่อบุพการีอย่างไม่ลืมหูลืมตา จั่นเจียงฉือผู้นี้จึงมีอนุสองคนก่อนแต่งภรรยาเอก ต่อมาไปชอบฉินซื่อ ผู้เป็นภรรยาเอกเข้า ทั้งยังได้จั่นอวิ๋นหยางบุตรชายสายตรงซึ่งเกิดจากภรรยาเอกเพิ่มมา อยู่ต่อหน้าผู้อื่นยังทำเย็นชาได้ แต่อยู่ต่อหน้าแม่ลูกทั้งสองเรียกได้ว่าไม่มีกรอบมีกำหนดใดๆ เช่นเดียวกับยามนี้ที่อยู่ต่อหน้าจั่นอวิ๋นหยาง ในสีหน้าท่าทางกลับมีแต่ความรักใคร่ตามใจ
ได้ยินคำปลอบของจั่นอวิ๋นหยาง อารมณ์ของจั่นเจียงฉือก็ดีขึ้นทันตาเห็น ยกมือขึ้นโบกเหมือนไล่หมาแมว “หลินซื่อ เจ้าไปเรียกหลิ่วซื่อให้พาอวิ๋นเฟยมา อวิ๋นหยางมาหาข้าตอนกลางวัน อยู่ข้างนอกไม่ได้กินอะไรดีๆ พวกเรามากินด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย”
“แต่ว่า…อวิ๋นเผิง…” อวิ๋นเผิงยังไม่กลับมาเลย
หลินอี๋เหนียงยังพูดไม่ทันจบ จั่นเจียงฉือก็ถลึงตาพูดเสียงเย็น “ยังไม่รีบไปอีก”
จั่นอวิ๋นหยางไม่ได้มองข้ามแววตาเคียดแค้นชิงชังขณะเดินจากไปของหลินอี๋เหนียง จึงอดไม่ได้ที่จะแววตาเข้มขึ้น นวดหว่างคิ้วน้อยๆ ท่านพ่อของเขาจะสร้างศัตรูให้เขาเก่งเกินไปแล้วจริงๆ
“อวิ๋นหยาง เจ้ากลับมาคราวนี้คงมิใช่คิดจะแต่งงานกระมัง แม้เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่อาจไม่แต่งกับบุตรสาวสกุลหลิน แต่พ่อเห็นว่าสกุลหลินมิใช่ตัวเลือกที่ดี หลินฟางเฟยผู้นั้นก็มิเห็นมีอะไรโดดเด่น ถ้าเจ้าชอบนางจริงๆ รับมาเป็นอนุก่อนจะดีกว่า แล้วพวกเราก็หาบุตรสาวตระกูลใหญ่สักคนมาเป็นภรรยาเอกดีหรือไม่” ไม่กี่เดือนก่อนจั่นอวิ๋นหยางกลับบ้านมากะทันหัน แค่จั่นเจียงฉือนึกถึงคำที่ตอนนั้นเขายืนต่อหน้าตนแล้วพูดออกมาก็ให้กลุ้มใจเหลือประมาณ
วันที่สิบสองเดือนสิบเป็นวันครบรอบวันตายของฉินซื่อ มารดาบังเกิดเกล้าของจั่นอวิ๋นหยาง แม้จะประสบผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมามากมาย คฤหาสน์ที่หลายปีก่อนครอบครัวเดิมของฉินซื่อเคยอยู่ได้ค่อยๆ กลายเป็นที่รกร้างเสื่อมโทรมแล้ว แต่ถึงวันครบรอบวันตายของฉินซื่อในแต่ละปี จั่นอวิ๋นหยางก็ยังคงไปประกอบพิธีเซ่นไหว้นางยังคฤหาสน์ที่มารดาของเขามีความผูกพันอย่างลึกซึ้งหลังนั้น
วันที่สิบสองเดือนสิบเมื่อปีกลาย เขาก็รีบกลับมาจากต่างเมืองไปยังคฤหาสน์หลังนั้นเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าวันที่สิบสามเดือนสิบเขาจะกลับเข้าบ้านด้วยท่าทางเย็นชา หลังทิ้งคำพูดบอกจั่นเจียงฉือว่าให้ไปสู่ขอบุตรสาวสกุลหลินเสร็จ ตีให้ตายก็ไม่ยอมพูดอะไรอื่นอีก
กลับเป็นหลินอี๋เหนียงที่ได้ยินแล้วก็กลับไปบ้านเดิมอย่างดีอกดีใจเป็นล้นพ้น พอกลับมาก็เล่าว่าหลินฟางเฟยผู้เป็นหลานสาวเกิดไปเจอเรื่องยุ่งยากระหว่างทางไปจุดธูป ดีที่ได้จั่นอวิ๋นหยางให้ความช่วยเหลือ เป็นไปได้ว่าจั่นอวิ๋นหยางจะถูกตาต้องใจรูปโฉมงดงามล่มเมืองของหลานสาวนางในเวลานั้น
ขณะชื่อของหลินฟางเฟยถูกเอ่ยถึง ในดวงตาของจั่นอวิ๋นหยางมีแววเบื่อหน่ายดูแคลนอย่างเข้มข้นวาบผ่าน แต่ครั้นนึกถึงหยกเขียวลายปลาคู่สมบัติของตกทอดประจำตระกูลที่หายไปหลังคืนนั้น เขาก็ไม่อาจไม่ข่มความหงุดหงิดในใจลง “คราวนี้ข้ากลับมาพักที่คฤหาสน์ราวห้าวัน เรื่องแต่งงานยังไม่ต้องรีบขอรับ กลับมาคราวหน้าข้าค่อยเล่าให้ท่านพ่อฟังอย่างละเอียด”