ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 513-515
บทที่ 514 ตกลงมาตายเนื่องจากเมาสุรา
“แล้วเหตุใดเฉียนเทียนเจี้ยงถึงหายตัวไปก่อนจะมาพบเป็นศพเช่นนี้ได้” เสียงของเฉินอิ๋งดังขึ้น
ครั้นได้ยินเส้นเสียงใสกระจ่างนั่น ความรู้สึกกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในอกของเผยซู่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงชุ่มชื้นชวนเคลิบเคลิ้มอยู่หลายส่วน
“เฉียนเทียนเจี้ยงเป็นพวกชอบดื่มสุรา โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาอาศัยอยู่ในเขาลึก ปีปีหนึ่งจึงมีโอกาสดื่มสุราแค่ไม่กี่อึกเท่านั้น ทว่านับแต่ข้ารับตัวมา ทุกครั้งที่ข้าสอบถามเขา เขาก็มักเรียกร้องขอสุราสองสามจอกเสมอ แรกๆ ข้าก็ไม่อนุญาต แต่ต่อมาข้ากลับพบว่าหลังได้ดื่มสุราเขามักจำเรื่องราวในอดีตได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง บางครั้งถึงขนาดสามารถเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบในยามนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเริ่มอนุญาตให้เขาดื่ม ในห้องของเขามีสุราเตรียมพร้อมไว้เสมอ”
เขาส่ายหน้าคล้ายอับจน สีหน้ากลับกลายเป็นอึมครึม “วันนี้ตอนข้าไปรับเจ้า จู่ๆ เหอถิงเจิ้งก็เข้ามารายงาน บอกว่าเฉียนเทียนเจี้ยงหายตัวไป ข้ารีบกลับไปหาก่อนจะพบศพของเขาอยู่ในบ่อน้ำแห้งขอดบ่อหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกเวลาที่เดินยามกะดึกบอกว่าเมื่อวานตอนเที่ยงคืนเขาเห็นเหล่าเฉียนเดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าไปห้องส้วม เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสุราคละคลุ้ง เพราะบ่อน้ำแห้งขอดนั้นอยู่ห่างจากห้องส้วมไปไม่ไกล ศพที่ถูกเอาขึ้นมามีบาดแผลอยู่ไม่มาก จึงเชื่อได้ว่าอาจเพราะเมามายจนแยกแยะเส้นทางไม่ถูก เป็นเหตุให้เขาพลั้งเท้าหล่นลงไปในบ่อคอหักตาย”
ยามพูดถึงตอนท้ายสีหน้าท่าทางของเขาก็พลันหม่นหมอง มือที่วางอยู่บนโต๊ะกุมเข้าหากันแน่น
เฉินอิ๋งนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น ยื่นนิ้วเคาะลงบนโต๊ะสองสามครา “ไปกันเถอะ พวกเราไปดูกัน”
เผยซู่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถึงนางจะไม่ได้พูดออกมาชัดแจ้ง แต่เขาก็ฟังเข้าใจได้ในทันที ร่างกายพลันตอบสนอง รีบลุกขึ้นพูดว่า “ศพของเหล่าเฉียนตอนนี้เก็บอยู่ในเรือนของข้าชั่วคราว”
เฉินอิ๋งพยักหน้าพร้อมเดินขึ้นหน้าสองก้าว แต่แล้วจู่ๆ นางก็หันกลับมาถาม “เหล่าฉางไม่อยู่กระนั้นหรือ”
“เขาอยู่ที่เมืองหลวง” เผยซู่ยกมือกดลงบนข้างหน้าผาก ท่าทางอ่อนล้า “ก่อนมาซานตง เฉาจื่อเหลียนบอกว่ามีคดีต้องการให้เหล่าฉางช่วยเหลือ บังคับให้ข้าทิ้งคนไว้”
เขาสีหน้าเคร่งขรึมชักเท้าเดินขึ้นหน้า “ขุนนางเหลวไหลพวกนั้นเซ้าซี้ไม่เลิก ข้าเองก็ไม่อาจต่อล้อต่อเถียงอันใดกับพวกเขามากนัก สุดท้ายจึงได้แต่ตกลงรับปาก”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “หากรู้แต่แรกข้าคงพาเขามาด้วยแล้ว”
ถึงคนตายจะไม่อาจฟื้นคืน แต่มีเหล่าฉางเจ้าหน้าที่ชันสูตรเฒ่าอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ยังอาศัยประสบการณ์ของอีกฝ่ายวิเคราะห์รู้ถึงสาเหตุการตาย ช่วยให้เรื่องนี้กระจ่างแจ้งได้
เฉินอิ๋งหลับตาลงไม่พูดไม่จา ในใจกลับคิดว่ามิน่าเผยซู่ไปแล้วก็กลับมา บางทีตัวเขาเองอาจไม่ตระหนักว่าตนเองนั้นสงสัยเคลือบแคลงในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มากเพียงใด หาไม่แล้วมีหรือที่เขาจะมาขอความช่วยเหลือจากนาง
“ทางจี่หนานเองอันที่จริงก็มีเจ้าหน้าที่ชันสูตรอยู่ เพียงแต่ข้าไม่ไว้ใจพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเหล่าเฉียนนี้ข้าเองก็ไม่ต้องการให้คนนอกล่วงรู้” เผยซู่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบไม่ต่างอันใดกับสภาพอากาศหนาวเหน็บเดือนสิบสอง
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” เฉินอิ๋งกล่าว
เฉียนเทียนเจี้ยงเป็นหมากลับ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ซานตงเป็นรังเก่าของคังอ๋อง ยากจะบอกได้ว่าไม่มีตะปูอื่นใดซ่อนแฝง ระวังตัวมากหน่อยหาใช่เรื่องเกินเลยไม่
“นอกจากงมขึ้นมาจากก้นบ่อแล้วศพก็มิได้มีการเคลื่อนย้ายอันใด” เผยซู่กล่าวขึ้นอีกคราว คล้ายรายงานให้เฉินอิ๋งฟัง “ที่บ่อน้ำนั่นข้าได้สั่งให้คนล้อมเชือกเอาไว้แล้ว ที่พักของเฉียนเทียนเจี้ยงหรือก็ปิดตายไว้ พยานรู้เห็นเหตุการณ์สองสามรายพวกนั้นก็แยกกักตัวโดยมีทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าไว้”
เขามองไปทางเฉินอิ๋ง เงาร่างสูงใหญ่ค้อมลงมาเล็กน้อย กระซิบเสียงอ่อนโยนไม่เหมือนหลุดออกมาจากปากเขา “อาอิ๋ง ข้าจัดการเช่นนี้เจ้าว่าดีหรือไม่”
เฉินอิ๋งเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ยากยิ่งนักที่จะพบเห็นท่านโหวน้อยเอ่ยปากขอคำชี้แนะด้วยท่าทางถ่อมเนื้อถ่อมตัวเช่นนี้
นางจ้องมองดูเขา เขาจ้องมองดูนาง สายตาหนักแน่นจริงจังยิ่งยวด
หากมองดูใกล้ๆ จะพบว่าดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลใสกระจ่าง สะอาดบริสุทธิ์ อ่อนกว่าสีอำพัน รัศมีสีทองส่องประกายวับวาวอยู่รางๆ
เฉินอิ๋งอดยอมรับไม่ได้ว่าหากถอดกลิ่นอายพาลพาโล ท่าทางดุดัน ท่วงท่าเยี่ยงนักเลงอันธพาลบนตัวเผยซู่ทิ้ง ท่าทางของเขาในยามนี้เรียกได้ว่าสอดคล้องกับรูปร่างหน้าตาของเขาอย่างเหลือเชื่อ
นางอดคิดไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง ญาติสนิทลาลับจากโลกนี้ไปหมดสิ้น ด้วยนิสัยเดิมของเผยซู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจเติบโตมาเป็นคนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสายิ่งก็เป็นไปได้
ทว่าความคิดนี้ดำรงอยู่กับนางแค่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ยามนี้คิ้วข้างหนึ่งของเผยซู่เลิกขึ้น ท่านโหวน้อยที่เฉินอิ๋งคุ้นเคยกลับมาแล้ว
“นอกจากนี้ข้ายังให้คนเอาสุราพวกนั้นไปให้หมอทหารตรวจแล้วเช่นกัน ยามนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป” น้ำเสียงชวนเคลิบเคลิ้มเยี่ยงสุรารสเลิศไหลผ่านข้างหูของเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งพยักหน้า “การจัดการเช่นนี้นับว่าเหมาะสมยิ่งนัก หากข้าเป็นอาซู่ก็คงจัดการเฉกเดียวกันนี้”
เผยซู่ยิ้ม แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มนั้นก็กลับกลายเป็นความลังเล “อันที่จริง…หากพิจารณาตามสติปัญญาตื้นเขินของข้า การตายของเหล่าเฉียนเกรงว่าจะเป็นอุบัติเหตุ”
เขากลอกตามองไปทางด้านหน้า สีหน้าเย้ยหยันตนเองอยู่เล็กๆ “เพียงแต่ข้าไม่อยากนึกยอมรับมันก็เท่านั้น”
สองมือของเผยซู่กุมเข้าหากันเป็นกำปั้นอย่างไม่รู้ตัว ข้อกระดูกตามนิ้วซีดขาว “ข้าไม่อยากเชื่อว่าเขาจะตายไปเช่นนี้ ตายไปอย่างไม่มีมูลเหตุต่อหน้าข้า ข้าไม่อาจยอมรับได้จริงๆ และไม่คิดยอมจำนน”
จู่ๆ เขาก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเฉินอิ๋ง ดวงตาฝากแฝงความรู้สึกวาดหวัง “ยามนั้นข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่ข้าไม่เข้าใจไม่ว่าเช่นไรย่อมต้องมีคนสามารถเข้าใจได้แน่ เหมือนอย่าง…เจ้า…อาอิ๋ง ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงควบม้าไปจวนจงหย่งป๋อ ตอนนี้พอลองคิดๆ ดู ข้าคงไปเพื่อรับเจ้ามาที่จวน”
เขาชักสายตากลับ ก้มหน้าหลุบตา หมัดกุมเข้าหากันแน่นขึ้นทุกที เส้นเลือดบนหลังมือขมวดตึง
“ข้าทำเช่นนี้ เจ้า…ถือสาหรือไม่” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แห้งผากแหบพร่า มิได้ชวนเคลิบเคลิ้มอีกต่อไป
“อาซู่ ข้าไม่ถือสาแม้แต่น้อย” เฉินอิ๋งหยุดเท้า แหงนหน้ามองดูอีกฝ่าย สีหน้าจริงจังอย่างยิ่งยวด “เฉียนเทียนเจี้ยงสำคัญต่อท่านยิ่ง และเขาก็สำคัญต่อข้าเช่นเดียวกัน การตายของเขาอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ทว่าหากท่านรู้สึกคลางแคลงแม้เพียงนิด ข้าก็ยินดีช่วยท่านสืบหาความจริงจนกระจ่าง”
นางขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เงยหน้าและขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น
ลมวสันต์แผ่วเบาผ่านพัดเส้นผมดำขลับของนาง เส้นผมปอยหนึ่งลู่ตก ขยับไหวตามลม ระอยู่กับแขนของเผยซู่ ใจของเผยซู่สะท้านไหว
“อีกไม่นานพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อาซู่ เรื่องของท่านก็คือเรื่องของข้า ท่านยินดีให้ข้าช่วยเหลือเช่นนี้ ข้าดีใจยิ่งนัก” เส้นเสียงแผ่วเบากับปอยผมยาวๆ ปอยนั้นพันผูกเกี่ยวกระหวัดเข้าไปถึงในใจเขา
เผยซู่หลุบตามองดูนาง หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ เขาก็เผยยิ้ม
นั่นเป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวยิ่งนัก เฉินอิ๋งเคยเห็นมันปรากฏอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทุกครั้งล้วนทำให้คนปลาบปลื้มยินดี
“ดียิ่งนัก” เผยซู่เอ่ยปากกล่าว ดวงตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง
เฉินอิ๋งเองก็ยิ้ม “เร็วเถอะ รีบสืบคดีกัน ท่านจะได้สบายใจเร็วขึ้นอีกหน่อย”
เผยซู่พยักหน้า ไม่พูดอันใดอีก เขาชักเท้าเดินนำทางอีกครา เพียงไม่นานลานเรือนสะอาดสะอ้านหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา นั่นคือที่พำนักของเผยซู่
ตอนนี้หลางถิงอวี้กำลังนำกองกำลังกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นอกประตู พอเห็นเผยซู่กับเฉินอิ๋ง เขาก็รีบประสานมือแสดงคารวะ “คารวะใต้เท้า คารวะคุณชายเฉิน”
เผยซู่โบกมือ พาเฉินอิ๋งสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปภายใน หลางถิงอวี้เดินตามเข้าไปติดๆ