ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 513-515
บทที่ 515 เหมาะจะเป็นผู้ช่วย
เรือนนี้ตั้งอยู่บนแนวเส้นแกนกลางของจวนพอดี ประกอบด้วยเรือนย่อยห้าหลัง สามหลังรับแสงได้ดี อีกสองหลังได้รับแสงน้อย ห้องข้างฝั่งตะวันตกและตะวันออกล้วนถูกรื้อทิ้ง ระเบียงประสานประชิดติดอยู่กับผนังเรือน ทำให้แลดูโปร่งกว้างอย่างเห็นได้ชัด พื้นลานถูกปูไว้ด้วยก้อนกรวดเล็กละเอียด ไม่ผิดไปจากที่คาด ตรงมุมมีอาวุธนานาชนิดวางตั้งไว้
ริมฝีปากของเฉินอิ๋งยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ดูท่าเผยซู่จะเป็นพวกบ้าออกกำลังกายจริงๆ แม้แต่เรือนพำนักก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นห้องออกกำลังกาย หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า ‘ห้องฝึกร่างกาย’ นั่นเอง
เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินอิ๋งเช่นนั้น ใบหน้าของเผยซู่ก็มีสีสันเพิ่มเติมขึ้นหลายส่วน
“แรกเริ่มเดิมทีตอนสั่งให้คนสร้างเรือนนี้ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะมาไวเช่นนี้” เขาลูบคางอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงเบาโหวงอยู่หลายส่วนคล้ายไม่มีเรี่ยวแรงกำลัง
ครั้นพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาจ้องเขม็งไปที่หลางถิงอวี้ “เหตุใดถึงไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อย ไม่รู้หรือไรว่าวันนี้มีแขก ดูท่าคงไม่ได้ถูกลงโทษมาหลายวันแล้วกระมัง เลยลืมสิ้นว่าต้องทำงานเช่นไร”
เผยซู่ยังไม่ทันพูดจบ หลางถิงอวี้ก็ราวกับนางแอ่นโฉบผิวน้ำสามครา ทะยานร่างถอยห่างออกไปไกลหนึ่งจั้ง ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น แม้ท่าทีจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทว่าสีหน้ากลับคับแค้นน้อยอกน้อยใจ เขาพึมพำโอดครวญว่า “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหาได้พูดอันใดไม่ แล้วผู้น้อยไหนเลยจะรู้ได้”
เผยซู่ดวงตาหรี่เล็กลงยามเอ่ย “เนื้อหนังเจ้าคงคันมากแล้วกระมัง”
หลางถิงอวี้เนื้อตัวสั่น ฉีกยิ้มน่าเกลียดน่าชังกว่าร่ำไห้ออกมา “ถ้าเช่นนั้น…ผู้น้อยจะให้คนเอาดอกไม้มาสักสองสามกระถาง ใต้เท้าคิดว่า…”
“ยังไม่รีบไปอีก!” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เผยซู่ก็คิ้วตั้งเอ่ยปากตวาด กลิ่นอายเยี่ยงคนพาลปะทุออกจากร่าง “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งเค่อ”
หลางถิงอวี้ขานรับเสียงดัง หันหลังกลับพร้อมชักเท้าอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็หายลับไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เผยซู่อารมณ์สงบนิ่งลงเล็กน้อย ครั้นหันหน้ากลับมาก็พบว่าเฉินอิ๋งเดินตัดผ่านลานไปก่อนหน้าแล้ว ไม่นึกสนใจพวกเขาสองคนเลยแม้แต่น้อย ยามนี้กำลังยกเท้าก้าวขึ้นไปบนบันได
เผยซู่กระวนกระวาย รีบชักเท้าเดินขึ้นหน้า อาศัยที่เป็นคนตัวสูงขายาวย่างก้าวรวดเร็ว เขาเดินตรงเข้าไปช่วยเฉินอิ๋งเลิกม่านพลางกล่าว “ศพอยู่ในห้องเล็กฝั่งตะวันตก”
เฉินอิ๋งพยักหน้า เดินเลี้ยวไปยังห้องเล็กฝั่งตะวันตก
ห้องเล็กฝั่งตะวันตกว่างเปล่า ไม่มีเครื่องเรือนอันใด คล้ายน้อยนักที่จะมีคนมาที่นี่ บนบานหน้าต่างสลักลายมีฝุ่นจับอยู่เล็กน้อย บนพื้นเองก็เช่นกัน
และด้วยเพราะเหตุนี้ศพที่ตั้งอยู่บนไม้กระดานห่อคลุมด้วยผ้าขาวนั้นจึงเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“เพราะข้าไม่ชอบมีบ่าวรับใช้ ในเรือนจึงไม่มีห้องให้พวกบ่าวไพร่พำนัก ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาห้องนี้จึงถูกปล่อยว่างไว้มิได้ใช้ประโยชน์อันใด” เผยซู่กล่าว
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ข้างหน้าต่าง เปิดมันออกจนสุดก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเผยซู่ “อาซู่ ช่วยเปิดประตูให้ข้าหน่อย เลิกม่านหน้าต่างขึ้นด้วย แล้วก็จุดตะเกียงเพิ่มสักสองสามดวง อีกอย่างช่วยเอาตั่งสูงมาสักสี่ตัว ยกกระดานรองศพให้สูงขึ้นอีกสักนิด ข้าจะได้ชันสูตรศพได้สะดวก”
ก่อนหน้านี้เผยซู่เคยบอกว่าเนื้อตัวของเฉียนเทียนเจี้ยงไม่มีร่องรอยบาดแผลชัดแจ้งอันใด พูดอีกอย่างก็คือหากนี่เป็นฝีมือของคนร้ายจริง เช่นนั้นวิธีการของคนร้ายย่อมต้องลึกลับซับซ้อนยากจะสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แสงไฟสว่างๆ การจัดวางศพที่ดีอาจช่วยให้พบเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง
เผยซู่ตอบรับอย่างรวดเร็ว เขารีบสั่งการลงไป เพียงไม่นานในห้องก็มีการจัดวางใหม่ เทียนสิบกว่าเล่มถูกวางลงบนโต๊ะสูงสามตัว ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนตัวของเฉียนเทียนเจี้ยงได้เด่นชัดมากขึ้น
เฉินอิ๋งสวมถุงมือ ใส่ผ้าปิดปาก ขยับตัวไปที่หน้าศพและเลิกผ้าขาวขึ้น
ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดของเฉียนเทียนเจี้ยงปรากฏชัดอยู่ภายใต้แสงไฟ
“เขาอายุเท่าใดแล้ว” เฉินอิ๋งมองไปทางเผยซู่พลางเอ่ยปากถามน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมใช้นิ้วกดลงบนจ้ำเลือดที่ปรากฏอยู่บนผิวหนัง สังเกตดูปฏิกิริยาของศพอย่างละเอียด
หลังจากกดลงไป รอยจ้ำบางส่วนก็จะเกิดการเปลี่ยนสี นี่เป็นภาวะปกติของช่วงการกระจายตัวของรอยจ้ำเลือดหลังการตาย สามารถช่วยระบุถึงช่วงเวลาตายของเฉียนเทียนเจี้ยงได้ จากยามนั้นถึงตอนนี้น่าจะเกินกว่าสิบสองชั่วโมงแล้ว
“จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ปีนี้เขาอายุสี่สิบเก้าแล้ว” เผยซู่บอกพลางขยับออกไปทางด้านข้าง ระวังไม่ให้บดบังแสงสว่าง
เฉินอิ๋งพยักหน้า นางเริ่มตรวจสอบศพจากส่วนหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ผิดจากที่เผยซู่บอกก่อนหน้านี้ บาดแผลที่ส่งผลให้เฉียนเทียนเจี้ยงถึงแก่ชีวิตอยู่บริเวณลำคอ หลังอาศัยวิธีการกดนิ้วคลำกระดูก เฉินอิ๋งก็อนุมานได้ว่าบางทีอาจเกิดจากฐานกะโหลกหักแตก กระดูกสันหลังส่วนคอหัก หรือไม่ก็ฐานกะโหลกหักเป็นช่วงๆ
ทั้งสามล้วนแต่เป็นผลอันเกิดจากการตกจากที่สูงจนถึงแก่ความตายที่พบได้บ่อยที่สุด และมักเกิดขึ้นจากการที่ส่วนหัวกระแทกเข้ากับพื้น เป็นอาการบาดเจ็บสาหัสที่แม้แต่ความสามารถทางการแพทย์ในปัจจุบันก็ยังยากจะช่วยเหลือเยียวยาได้
เฉียนเทียนเจี้ยงหากเมาสุราตกลงไปในบ่อ อาการบาดเจ็บเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลอยู่
นอกจากนี้บนศพก็ไม่พบร่องรอยต่อสู้ขัดขืนชัดเจนอันใด ซอกเล็บหรือก็ไม่มีเศษผิวหนัง รอยเลือด เส้นขน นอกจากบนหลังมือที่มีรอยถลอกอยู่จุดหนึ่ง ด้านบนเปื้อนคราบเขียวเล็กๆ คล้ายคราบหญ้าคราบชิงไถ*
“ผนังของบ่อน้ำแห้งขอดนั่นมีชิงไถขึ้นอยู่ใช่หรือไม่” เฉินอิ๋งเอ่ยถาม นางใช้ตะเกียบเหล็กปาดรอยเปรอะเปื้อนนั้นสองสามคราว ก่อนจะปาดลงบนผ้าห่อศพอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ส่องเข้ากับแสงเพื่อตรวจสอบดูรูปร่างสีสันของมัน ก่อนจะกล่าวอย่างมั่นใจว่า “นี่เป็นคราบชิงไถ”
ชิงไถมีหลากหลายสายพันธุ์ จากความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ของคุณนักสืบ เฉินอิ๋งรู้สึกว่านี่ดูเหมือนจะเป็นพันธุ์เป๋าฉื่อเสี่ยน**
เผยซู่ขยับใกล้เข้ามาเล็กน้อย จ้องมองดูร่องรอยบนผ้าห่อศพนั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงขรึม “ดูคล้ายชิงไถในบ่อน้ำจริงๆ ข้าจะเรียกให้คนไปเก็บตัวอย่างมาให้เจ้าดู”
เฉินอิ๋งเอ่ยปากบอกว่า “ดี” ออกมาคราหนึ่ง เผยซู่สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป เฉินอิ๋งยังคงตรวจสอบคราบเขียวนั่นอย่างละเอียด เทียบกับชิงไถสายพันธุ์ต่างๆ ในสมองเพื่อให้มั่นใจถึงข้อสันนิษฐานของตนเอง
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป เผยซู่ก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือถือจานกระเบื้องสีขาวใบหนึ่ง ที่อยู่ด้านบนคือแผ่นชิงไถสองสามแผ่น “นี่เป็นชิงไถที่ข้าสั่งให้คนไปเอามาจากผนังบ่อน้ำนั่น”
เฉินอิ๋งกวาดตามองไป ชิงไถในจานคือเป๋าฉื่อเสี่ยนจริงๆ นางสันนิษฐานไว้ไม่ผิด
นางรับเอาจานมาถือไว้ ใช้ตะเกียบเหล็กถูอยู่สองสามที เทียบมันเข้ากับคราบเขียวบนหลังมือของผู้ตาย ก่อนจะเอ่ยปากสรุปผลการชันสูตรศพส่วนหนึ่งออกมา “ตอนผู้ตายมีชีวิตอยู่น่าจะมิได้ต่อสู้หรือมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้ใด รอยถลอกบนมือของเขาบางทีอาจเกิดขึ้นเพราะสัมผัสถูกผนังบ่อตอนตกลงมา”
คำตอบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ผิดจากที่เผยซู่คาดไว้ เขาสีหน้าสงบนิ่ง วางจานกระเบื้องลงบนโต๊ะสูง ไม่พูดไม่จาอันใด
เฉินอิ๋งพูดต่อ “อาซู่ ท่านช่วยข้าถือตะเกียงหน่อย ข้าต้องการดูในปากของเขา”
เผยซู่เอ่ยปากตอบ “ได้” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนตนเองเป็นลูกมือของเฉินอิ๋ง
เขาถือตะเกียงไว้ในมือด้วยท่วงทีน่าเกรงขาม เดินไปหาตำแหน่งเหมาะๆ ที่ทั้งสามารถมองดูการชันสูตรของเฉินอิ๋งได้ชัดแจ้ง ขณะเดียวกันก็ช่วยให้นางสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดถนัดตาที่สุด
ครั้นแสงไฟหยุดนิ่ง เฉินอิ๋งก็ใช้ตะเกียบกวาดพลิกดูช่องปาก ลิ้น รวมไปถึงในลำคอของผู้ตาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่พบร่องรอยเยื่อเมือกถูกทำให้เสียหายอันใด แม้แต่ร่องรอยคราบเลือดก็ไม่พบ
นางปลดผ้าปิดปากลง ขยับเข้าไปดมกลิ่นใกล้ๆ
กลิ่นสุราจางๆ ลอยออกมาจากปากของผู้ตาย นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีกลิ่นผิดแผกอื่นใด
ดังนั้นข้อสันนิษฐานจำพวกมีคนจับเขากรอกสุรา หลังจากนั้นค่อยโยนศพลงบ่อน้ำจึงสามารถตัดทิ้งออกไปได้ รวมถึงประเด็นถูกวางยาพิษก่อนจะจับโยนลงบ่อน้ำด้วย
หลังตัดข้อสันนิษฐานทั้งสองออก เฉินอิ๋งก็พินิจพิจารณาร่างกายส่วนอื่นๆ ของเฉียนเทียนเจี้ยง แต่ก็ยังคงเหมือนเก่า นางไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดเลย
จนถึงยามนี้งานชันสูตรเรียกได้ว่าสำเร็จลุล่วงไปแล้วส่วนหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้น สองตาจ้องมองไปที่เผยซู่ด้วยสายตาสงบนิ่งพร้อมกล่าวรายงานผลชันสูตรให้อีกฝ่ายฟัง “จากผลชันสูตร โอกาสที่เฉียนเทียนเจี้ยงจะบังเอิญตกบ่อตายนับว่าเป็นไปได้มากอยู่”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเผยซู่ก็หม่นหมองลงเล็กๆ ดวงตาฉายแววผิดหวังอยู่สองสามส่วน
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็คล้ายกำจัดความรู้สึกหนักอึ้งในใจออกไปได้หมดสิ้น ไหล่ที่เคยแข็งตึงดูจริงจังยามนี้กลับกลายเป็นผ่อนคลายลงหลายส่วน เขาฉีกมุมปากเย้ยหยันตนเอง “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็รู้สึกยินดี ถึงจะนึกเสียใจอยู่บ้างก็ตาม”
* เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มีตำนานเล่าว่าในสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก
* ชิงไถ หมายถึงมอสส์ (Moss)
** เป๋าฉื่อเสี่ยน เป็นสายพันธุ์หนึ่งของมอสส์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Leptodontium viticulosoides
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.